ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 93
ขโมย
ใกล้จะถึงเวลาพลบค่ำแล้วตอนที่พวกเขามาถึงชายแดนของเขาอวิ๋นอู้ ภูมิทัศน์ที่คุ้นเคยนี้ทำให้โม่เทียนเกอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่กระนั้น เมื่อนางคิดถึงท่านอารอง นางก็ยืดหลังตรงและก้าวไปข้างหน้า
ท่านอารองจากไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขา เพราะฉะนั้นจึงมีความคับแค้นใจกันอยู่ระหว่างตัวนางและเขาอวิ๋นอู้ แล้วนางจะอ่อนแอและหวาดกลัวได้อย่างไรเมื่อนางมีความไม่พอใจที่มากมายขนาดนั้น!
แต่สิ่งที่แปลกก็คือหลังจากที่พวกเขามาถึง โดยไม่คาดคิด ไม่มีใครสักคนมาถามอะไรพวกเขา ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินเข้าสู่สำนักอย่างง่ายดาย
หลังจากเดินมาระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ถามด้วยความงุนงง “ศิษย์พี่ฉิน นี่เป็นทางไปหอหมื่นบัญญัติไม่ใช่หรือ”
ในเมื่อพวกเขาไม่ได้มุ่งไปทางยอดเขาทิศใต้หรือยอดเขาทิศเหนือ จึงไม่มีจุดหมายปลายทางอื่น เส้นทางนี้นำไปสู่หอหมื่นบัญญัติเพียงที่เดียว
ฉินซีไม่ได้ตอบอะไรและเพียงก้าวต่อไปอย่างเงียบเชียบ
โม่เทียนเกอก็หยุดพูดเช่นกัน นางแค่เดินต่อไปข้างหน้าตามการนำทางของเขา
เมื่อพวกเขามาถึงประตูของหอหมื่นบัญญัติ พวกเขาใช้แผ่นจารึกประจำตัวเพื่อเปิดม่านพลังและเข้าไปสู่ถ้ำ
โม่เทียนเกอที่เดินอยู่ด้านหลังกำลังงงกับสิ่งที่ฉินซีทำ เพราะทันทีที่นางเข้ามาถึงในถ้ำ ก็เห็นว่าศิษย์ที่รับหน้าที่เฝ้าหอหมื่นบัญญัติกำลังหลับอยู่
ไม่นานหลังจากนั้น ฉินซีพานางเข้าไปที่กลางถ้ำ หลังจากทำท่ามุทรา [1] ที่ซับซ้อนหลายท่าด้วยมือของเขา เขาใช้พลังวิญญาณของตัวเองกระแทกประตูหิน ประตูหินจึงเปิดออกอย่างไร้สุ้มเสียง
พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของนาง ฉินซียิ้มและอธิบายว่า “ข้าโชคดีน่ะ ท่านปรมาจารย์ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังของสำนักเคยพามาที่นี่ครั้งหนึ่ง ข้าเลยจำได้ว่าจะเปิดประตูอย่างไร”
สิ่งที่เขาพูดดูจะเป็นการพูดน้อยกว่าความจริงไปด้วยซ้ำ โม่เทียนเกอรู้ดีว่าการประเมินที่ดีและความเข้าใจนั้นจำเป็นสำหรับสิ่งที่เขาเพิ่งทำ ท่ามุทราของผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังไม่ใช่แค่การทำท่าทาง แต่ยังจำเป็นต้องมีการรับมือที่สอดคล้องกันกับพลังวิญญาณด้วย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมสูตรยาถึงได้ราคาสูงนัก เพราะการปรุงยาวิเศษที่เฉพาะเจาะจงจำเป็นต้องใช้ท่ามุทราที่กำหนด ซึ่งคนต้องลองทำไปอย่างช้าๆ ก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำท่าทางได้อย่างเชี่ยวชาญ
นางอดที่จะถามตัวเองไม่ได้ว่านางมีทักษะประเภทนี้หรือไม่ หลังจากเห็นมาครั้งหนึ่ง นางจำได้เพียงท่ามุทราบางท่าเท่านั้น ส่วนเรื่องการรับมือกับพลังวิญญาณ นางไม่มีความรู้เลยแม้แต่นิดเดียว การขาดทักษะของนางเป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงไม่คุ้นเคยกับมุทราและไม่เคยจริงจังกับการปรุงยาวิเศษหรือขัดเกลาเครื่องมือจนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้
จากนั้นฉินซีมอบเครื่องรางให้นางและบอกว่า “แปะเครื่องรางซ่อนกายาไว้ที่ตัวซะ เจ้าจะได้ไม่สัมผัสโดนกำแพงอาคมใดๆ”
โม่เทียนเกอรับมาด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไป เครื่องรางซ่อนกายาไม่มีราคาตลาด ตัวนางเองมีเพียงชิ้นเดียวซึ่งท่านอารองตามหามานานก่อนที่เขาจะสามารถหามาครอบครองได้ มันล้ำค่ามากกว่าเครื่องรางระดับสูงหลายต่อหลายอัน นางเคยเห็นกระดาษที่ใช้ผลิตเครื่องรางนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงแน่ใจว่าเครื่องรางอันนี้ทำขึ้นโดยตัวของฉินซีเอง
ฉินซีเริ่มหัดวาดเครื่องรางเมื่อสองปีก่อนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาสั้นๆ แค่สองปี เขาสามารถทำเครื่องรางซ่อนกายาขึ้นมาได้จริงแล้ว เมื่อนางย้อนดูความสามารถของตัวเองและตระหนักว่านางไม่มีพรสวรรค์ประเภทนี้เลย โม่เทียนเกอก็อดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้ กับคนมีความสามารถหลายๆ คนที่เก่งกว่านาง การจะประสบความสำเร็จให้ได้เท่าพวกเขานั้นถือว่ายากจริงๆ …
ถ้ำนี้ค่อนข้างเล็กกว่าถ้ำที่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมีสิทธิ์เข้าอยู่เล็กน้อย ข้างในไม่มีของอะไรมากมายนัก ส่วนมากเป็นของรูปร่างแปลกพิสดาร ทั้งยังไม่ได้มีหยกบันทึกมากมายและมีหนังสือเพียงแค่ไม่กี่เล่มเท่านั้นอยู่บนชั้นหนังสือเพียงตู้เดียว ยิ่งไปกว่านั้น ข้างในถ้ำยังมีกำแพงอาคมอีกด้วย
โม่เทียนเกอกังวลกับกำแพงอาคมเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงเพียงมองด้วยตาเปล่าเท่านั้นแต่ไม่กล้าจับอะไร ในทางกลับกัน ฉินซีไม่กังวลแม้แต่น้อยและยังรื้อค้นจนทั่ว โยนอะไรก็ตามที่เขาพอใจลงสู่กระเป๋าเอกภพของเขา อย่างไรก็ตาม กำแพงอาคมกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรจากการเคลื่อนไหวของเขาเลย
ระหว่างที่กำลังสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่ ความคิดไร้สาระก็แล่นผ่านจิตใจของโม่เทียนเกอ เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์พี่ฉินคนนี้จะแอบเข้ามาในสำนักอวิ๋นอู้เพื่อเป็นโจร
ในไม่ช้า ฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว นอกจากสิ่งของที่เขาเอาใส่กระเป๋าเอกภพของตัวเอง เขายังมีของมากมายในมือซึ่งเขาโยนมาให้นางตรงๆ เขากล่าวว่า “มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและระดับสูงกว่าที่มาที่นี่ได้ ของพวกนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับเจ้า รับไปสิ”
โม่เทียนเกอรับมาและเอาใส่กระเป๋าเอกภพของนางเงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่เป็นการกระทำจากความเมตตา ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ
เมื่อพวกเขาลบร่องรอยตัวตนของตัวเองแล้ว จึงออกจากหอหมื่นบัญญัติไปอย่างเงียบเชียบ
ขณะนั้นเอง เหล่าศิษย์ที่เฝ้าหอหมื่นบัญญัติรู้สึกเหมือนพวกเขาตกอยู่ในภวังค์ พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าถ้ำที่มีเพียงผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเข้าได้เท่านั้นจะถูกปล้นในขณะที่พวกเขายังอยู่ในภาวะงุนงง
โดยไม่ต้องหยุดศิษย์เหล่านั้น ฉินซีได้พาโม่เทียนเกอออกมาสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย
นางรู้แค่ว่าเส้นทางนี้จะนำไปสู่ยอดเขาทิศเหนือ แต่การได้เห็นฉินซีเดินอย่างง่ายดาย เขาคงจะค่อนข้างคุ้นกับเส้นทางนี้อยู่พอตัว
ทั้งสองคนเดินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งและจึงเข้าสู่ยอดเขาทิศเหนือ เมื่อต้องเผชิญกับม่านพลังหลายชั้นที่ล้อมรอบยอดเขาทิศเหนือ ฉินซีแค่ต้องเอาแผ่นจารึกประจำตัวออกมาก่อนที่เขาจะสามารถพานางเข้าสู่ม่านพลังได้อย่างปลอดภัย
หลังจากผ่านการเลี้ยวและอ้อมอยู่หลายหน ในที่สุดตึกหนึ่งก็ปรากฏให้เห็นต่อสายตา โม่เทียนเกอไม่สามารถจะแยกแยะว่าทางไหนเป็นทิศเหนือและทางไหนเป็นทิศใต้ได้อีกแล้ว
ดังเช่นก่อนหน้านี้ ฉินซีตัดแหวกช่องว่างในกำแพงอาคมและจากนั้นจึงนำทางโม่เทียนเกอเข้ามาที่สนาม
เมื่อนางเข้ามาถึงในสนาม จมูกของโม่เทียนเกอรับรู้ได้ถึงกลิ่นของยาที่อบอวลและร่างกายของนางก็ถูกเติมเต็มด้วยพลังวิญญาณทันที ผลปรากฏว่าที่นี่ที่จริงแล้วก็คือสวนสมุนไพร!
ฉินซีให้นางยืนอยู่ด้านข้าง แต่รอบนี้แทนที่เขาจะค้นหาของ เขาดูเหมือนว่าจะมีเป้าหมายที่เจาะจงอยู่แล้วในใจ เขาคว้าผลไม้วิญญาณและพืชวิญญาณหลายอย่างก่อนที่จะนำทางนางออกห่างจากสวน
ครั้งนี้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รับรู้ว่าศิษย์พี่ฉินคนนี้ที่จริงแล้วมาเพื่อขโมยของนี่เอง เขาอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับหอหมื่นบัญญัติ แต่เขารู้จักสวนสมุนไพรนี้เป็นอย่างดีแน่นอน
หลายปีก่อน เขาถูกมอบหมายงานจากผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังจากยอดเขาทิศเหนือให้มาช่วยงานในห้องปรุงยา เขาคงจะชื่นชอบพืชสมุนไพรพวกนี้มานานแล้วตอนนี้จึงฉวยโอกาสขโมยเสียเลย
นางประหลาดใจกับเรื่องนี้เป็นที่สุด แม้ว่าศิษย์พี่ฉินโดยปกติจะเฉยเมย แต่โม่เทียนเกอนึกว่าเขายังเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง… แต่ขณะนี้ ภาพลักษณ์ของเขาที่นางเห็นได้แตกสลายไปจนหมดสิ้น
ในขณะที่นางตามเขามาอย่างเงียบๆ จากสวนสมุนไพร นางก็นึกสงสัยว่าจะมีที่อื่นอีกไหมที่โชคร้ายตกเป็นเป้าหมายของเขา
หลังจากผ่านไปอีกสิบห้านาที โม่เทียนเกอตกตะลึงถึงขีดสุด
แม้ว่านางจะเตรียมใจมาแล้ว แต่นางก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าสถานที่ต่อไปจะเป็นโถงกุยหยวนขึ้นมาจริงๆ!
โถงกุยหยวนเป็นสถานที่แบบไหนน่ะหรือ มันคือที่พำนักของเจ้าสำนักของสำนักอวิ๋นอู้! เจ้าสำนักหลายต่อหลายรุ่นได้อาศัยอยู่ในโถงกุยหยวนเมื่อพวกเขายังดำรงอำนาจ! เจ้าสำนักคนสุดท้าย ฟังติ้งเย่ว์ถูกฆ่าโดยสำนักจื่อซย่า ดังนั้นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ตอนนี้ก็คือหัวหน้าสำนักย่อยเจียงนั่นเอง!
นางไม่เคยนึกเลยว่าฉินซีจะกล้าถึงเพียงนี้ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ตอนนี้นางทำได้แค่รวบรวมความกล้าและตามฉินซีเข้าโถงไปอย่างลับๆ
ภายในโถงกุยหยวนมีกำแพงอาคมอยู่ทั่วทุกที่ นางไม่รู้ว่าฉินซีทำได้อย่างไร แต่ขณะที่พวกเขาเดินอยู่ กำแพงอาคมเหล่านั้นกลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ กำแพงอาคมไม่โดนกระตุ้นโดยการเคลื่อนไหวของพวกเขาแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์ที่เฝ้าโถงอยู่ก็ไม่รับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาเลยสักนิดเดียว
นางรู้ว่าฉินซีต้องทำอะไรสักอย่างแน่ แต่เพราะกลอุบายเหล่านี้มักจะเป็นวิชาลับ นางจึงไม่ได้ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทั้งสองคนยังคงเดินอ้อมผ่านกลุ่มของศิษย์หลายคนที่อยู่ในหน้าที่เฝ้าระวังต่อไปขณะที่พวกเขาเดินดุ่มไปทั่วโถงกุยหยวน จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ผ่านกำแพงอาคมและเข้ามาสู่ตรอกหิน
โม่เทียนเกอไม่มีความรู้เกี่ยวกับโถงกุยหยวน แต่นางก็รู้ว่าสถานที่ที่มีกำแพงอาคมประเภทนี้จะต้องเป็นสถานที่สำคัญอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี นางไม่มีความคิดเห็นอะไรอีกต่อไปเพราะแม้ว่าฉินซีจะกล้าบ้าบิ่นเหลือเกิน แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีทักษะที่จำเป็นต้องใช้ แม้แต่กำแพงอาคมที่นางไม่เข้าใจยังถูกเขาแก้ออกได้โดยง่าย
เส้นทางเบื้องหลังกำแพงอาคมมีทางที่โค้งคดเคี้ยวมากมายและยืดออกไปยังที่ไกลๆ ทั้งสองคนเดินอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่สามารถไปถึงจุดสิ้นสุดได้เสียที บางครั้งบางคราวพวกเขาก็จะบังเอิญเจอเข้ากับห้องหินที่มีสมบัติเล็กน้อยอยู่ข้างใน แต่ฉินซีไม่แม้แต่จะสนใจเหลือบมองด้วยซ้ำ
โม่เทียนเกอเข้าใจว่าฉินซีคงจะมาเพื่อสมบัติที่เฉพาะเจาะจงอะไรบางอย่าง สมบัติเล็กน้อยพวกนี้จึงไม่ใช่เป้าหมายของเขา
พวกเขาเดินต่อไปอีกระยะสั้นๆ ก่อนที่ในที่สุดจะเข้ามาถึงหน้าห้องหินห้องหนึ่งและฉินซียกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้นางหยุดทันที ไม่นานหลังจากนั้น เขาเอากิ่งต้นท้อออกมาจากกระเป๋าเอกภพของเขา กิ่งต้นท้อนี้ยังมีใบที่สดและมีดอกท้อบานอยู่ ราวกับว่ามันเพิ่งถูกเด็ดออกมาจากต้นก็ไม่ปาน
จากนั้นเขาพึมพำร่ายคาถาอยู่หลายครั้งพร้อมโบกมือ ทันใดนั้น กิ่งต้นท้อตั้งตระหง่านอยู่บนพื้น กลิ่นท้อแผ่กระจายไปทั่วและแนวกั้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวพวกเขาทั้งสองคน
“ศิษย์พี่ฉิน” โม่เทียนเกอกระซิบด้วยความสงสัย
ฉินซีเพียงแค่แตะนิ้วชี้ไปที่ปากของเขาบอกให้นางอย่าเพิ่งพูด
ทั้งสองคนยืนอยู่ครู่หนึ่งในตรอกด้านหน้าห้องหิน ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงหลายเสียงดังมาจากภายในห้องนั้น
“ศิษย์พี่หลิน ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับเตาหลอมเก้ามังกรนี้”
เสียงนี้… หัวหน้าสำนักย่อยเจียง!
โม่เทียนเกอเงยหน้าเพื่อมองฉินซี หวังว่าเขาจะอธิบายให้นางฟังได้บ้างว่าเขาต้องการทำอะไร หัวหน้าสำนักย่อยเจียงอยู่ข้างในและยังดูเหมือนจะมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังอีกคนอยู่กับเขา แต่กระนั้น พวกเขาสองคนที่เป็นผู้ฝึกตนตัวเล็กๆ กลับนั่งหมอบอยู่ตรงนี้… ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังรนหาที่ตายหรอกหรือ!
อย่างไรก็ตาม ฉินซีเพียงแค่ส่ายหน้าและไม่ได้พูดอะไร
หลังจากชั่วขณะของความเงียบ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งพูดทื่อๆ ว่า “เจ้าต้องการอะไร”
หัวหน้าสำนักย่อยเจียงหัวเราะเจื่อนๆ และพูดว่า “ศิษย์พี่หลิน ท่านเป็นหัวหน้าสำนักย่อยของโรงเรียนจินเตาแล้วนะตอนนี้ ในขณะที่ข้าเป็นหัวหน้าสำนักย่อยของเขาอวิ๋นอู้ ไม่ว่ากรณีใด สถานการณ์ของพวกเราก็เหมือนกัน เราควรจะคุ้นเคยกันไว้สิ”
อีกคนหนึ่งเพียงแค่ส่งเสียง “ฮึ่ม” เบาๆ และพูดว่า “นักพรตเต๋าแก่ๆ คนนี้ไม่บังอาจทำตัวเทียบเท่ากับหัวหน้าสำนักย่อยเจียงหรอก เจ้าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยสำนักจื่อซย่าควบรวมเขาอวิ๋นอู้ ในขณะที่ข้าเป็นแค่นักพรตเต๋าแก่ๆ ที่ยังไม่ตาย ข้าไม่รู้ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่ แต่ถ้าข้าต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับเจ้า ข้าเกรงว่าอายุขัยของข้าจะสั้นลง!”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ว่าทั้งเสียงและทัศนคติของเขาช่างดูคุ้นเคย… จริงสิ! นักพรตเต๋าจากโรงเรียนจินเตาคนที่เป็นผู้นำกลุ่มในการทดสอบชิงยาสร้างฐานแห่งพลัง เขาเป็นหัวหน้าสำนักย่อยของโรงเรียนจินเตาไม่ใช่หรือ
โม่เทียนเกอได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวเรื่องนี้มาบ้าง นักพรตเต๋าหลินผู้นี้ที่จริงแล้วเป็นอดีตผู้นำของโรงเรียนจินเตา ในภายหลัง เพราะว่าอายุขัยของเขาใกล้จะสิ้นแล้ว เขาจึงส่งต่อตำแหน่งผู้นำโรงเรียนต่อให้กับผู้นำจิน แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในสำนักจื่อซย่า และโรงเรียนจินเตาจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่
เนื่องจากการตายของผู้นำโรงเรียนจินเตาและผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคน โรงเรียนจินเตาจึงอ่อนกำลังลงและไม่มีอำนาจที่จะต่อสู้กับสำนักจื่อซย่า เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น อดีตผู้นำโรงเรียนท่านนี้จึงสัญญากับสำนักจื่อซย่าว่าโรงเรียนจินเตาจะยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของสำนักจื่อซย่า ตราบใดที่พวกเขาหยุดการกวาดล้างที่โรงเรียนจินเตา
เนื่องจากเขามีบารมีมากพอและอายุขัยของเขาก็ใกล้จะหมดลง สำนักจื่อซย่ารู้สึกว่าพวกเขาสามารถซื้อใจคนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุอะไร จึงแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าสำนักย่อยของโรงเรียนจินเตา บีบบังคับผู้นำโรงเรียนที่เกษียณไปแล้วท่านนี้ให้ต้องมาเผชิญหน้ากับการทดสอบและความยากลำบากอีกครั้ง
หัวหน้าสำนักย่อยหลินท่านนี้แค่ยินยอมจะมาเป็นหัวหน้าสำนักย่อยก็เพื่อเห็นแก่ศิษย์ของโรงเรียนจินเตาเท่านั้น เขาชิงชังหัวหน้าสำนักย่อยเจียงผู้ที่ทรยศต่อสำนักอวิ๋นอู้และยังพึ่งพาอาศัยสำนักจื่อซย่า คำพูดของเขาตอนนี้จัดว่ารุนแรงมาก แต่อย่างไรก็ตาม เพราะเขามีบารมีมากเสียจนแม้แต่สำนักจื่อซย่าก็ยังเคารพเขา หัวหน้าสำนักย่อยเจียงจึงไม่กล้าที่จะทำให้เขาขุ่นเคืองใจ
แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่เห็นพ้องต้องกันเมื่อมาถึงจุดนี้ หัวหน้าสำนักย่อยเจียงเพียงแค่ส่งเสียงหัวเราะแห้งสั้นๆ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนประเด็น เขากล่าว “ข้าจะขอพูดตรงไปตรงมากับศิษย์พี่หลิน ข้าพบเจอเรื่องราวที่ยากลำบากเข้าซึ่งข้าหวังว่าศิษย์พี่หลินจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยข้าได้”
หัวหน้าสำนักย่อยหลินดูไม่ได้แปลกใจอะไรและพูดเพียงว่า “เรื่องเกี่ยวกับเหลนของเจ้าที่มีเจตนาชั่วร้ายต่อศิษย์ผู้หญิงในสำนักของเจ้าและสิ้นชีพไปน่ะรึ”
“… ใช่ โชคไม่ดีที่คนที่ฆ่าเหลนของข้าถูกใครบางคนช่วยไว้ได้ คนที่ช่วยชีวิตนางก็คือ…”
เมื่อนางฟังมาถึงตรงนี้ จู่ๆ โม่เทียนเกอก็รู้สึกว่าจิตใจของนางพร่ามัวและร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรง
ขณะที่ฉินซีอุ้มนางและจัดวางร่างของนางพิงผนังหิน เขาได้ยินเสียงหัวหน้าสำนักย่อยหลินดังออกมาจากในห้อง “หัวหน้าสำนักย่อยเจียง ข้าไม่ยอมใช้เตาหลอมเก้ามังกรของเจ้าหรอก!”
หัวหน้าสำนักย่อยเจียงรีบตอบ “ศิษย์พี่หลิน ข้าไม่ได้ขอให้ท่านไปฆ่าเขาคนนั้น ข้าเพียงแต่ขอให้ท่านดักจับเขาสักครู่หนึ่งเพื่อที่ข้าจะได้มีโอกาสชำระแค้น”
หัวหน้าสำนักย่อยหลินเย้ยอย่างเย็นชา “อย่าเอาเรื่องนี้มาพูดอีก ต่อให้ข้ามีทักษะ ข้าก็ไม่มีวันทำเช่นนั้น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้ว่าเขามีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่สนับสนุนเขาอยู่น่ะ?”
“ศิษย์พี่หลิน โรงเรียนเสวียนชิงอยู่ห่างจากที่นี่กว่าพันไมล์…”
“หัวหน้าสำนักย่อยเจียง!” ทันใดนั้นหัวหน้าสำนักย่อยหลินก็เสียงแข็งขึ้นมาและกล่าวว่า “ตระกูลของเจ้าควรจะแก้แค้นเอง นี่เจ้ากำลังพยายามลากโรงเรียนจินเตาของข้าเข้าไปเกี่ยวกับการเร่งให้เกิดความวิบัติที่ทำให้ทั้งโรงเรียนของข้าต้องสิ้นชื่อน่ะหรือ! ข้าไม่สามารถใช้เตาหลอมเก้ามังกรนี้ได้! ในเมื่อเราต่างไม่เห็นตรงกันในเรื่องนี้ วันนี้เราควรจบกันแค่นี้เสียเถอะ ไม่จำเป็นต้องไปส่งข้า!”
หลังจากที่เขาพูดจบ ประตูห้องหินก็เปิดออกทันที ชายนักพรตเต๋าชราเดินออกมาจากห้องอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่หัวหน้าสำนักย่อยเจียงตามหลังเขามา เขาดูโกรธเหมือนกันแต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไร ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่เห็นฉินซีและโม่เทียนเกอที่กำลังพิงผนังอยู่ และพวกเขาก็เดินออกไปทั้งๆ อย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หัวหน้าสำนักหลินจะออกไป เขาดูเหมือนจะเหลือบมองมาทางฉินซีและโม่เทียนเกอ
หลังจากผ่านไปสักพัก หัวหน้าสำนักย่อยเจียงก็กลับมาและดูหัวเสียเป็นอย่างมาก เมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้องหิน อย่างไรก็ตาม เขาพบว่ามีชายหนุ่มกำลังยืนอยู่ภายในห้อง
ด้วยความตกใจกลัว เขารีบคว้าอาวุธวิเศษออกมาและตะโกน “เจ้าเป็นใคร!”
ชายหนุ่มเพียงแค่เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ แทนการตอบ ด้วยความเร็วที่ไม่ได้เร็วหรือช้าเกินไป เขาหยิบกระบี่ออกมาจากกระเป๋าเอกภพและดึงมันออกจากฝัก กระบี่นี้เป็นสีทองอร่ามบริสุทธิ์และคมมีดปกคลุมไปด้วยเปลวไฟลุกโชน แรงเคลื่อนไหวของมันช่างน่าหวาดกลัว
“กระบี่อัคนีสามพลังหยาง! เจ้าคือ…”
——
[1] มุทรา คือสัญลักษณ์นิ้วและมือทางพิธีกรรมในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ