ลำนำสตรียอดเซียน - ตอนที่ 99
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเว่ยจยาเซือตกใจอะไร อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ไม่อยากจะต้องรับมือกับเรื่องแบบนี้จริงๆ
ถึงตอนนี้ที่นางเกือบจะอ่านคู่มือเคล็ดวิชาการฝึกตนของนางจบแล้ว ทักษะในการปรุงยาของนางก็ค่อยๆ ไต่ระดับไปถึงจุดที่นางสนุกกับกระบวนการนั้น ถึงเวลาสำหรับนางแล้วที่จะเตรียมตัวสร้างฐานแห่งพลังของนาง
ตอนนี้นางมียาสร้างฐานแห่งพลังหนึ่งเม็ดและยาเกลาฐานแห่งพลังสองเม็ด ถ้านางสามารถปรุงยาเพิ่มพลังการก่อเกิดได้ โอกาสประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแห่งพลังของนางก็จะยิ่งสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อได้คำแนะนำจากอาจารย์ลุงเสวียนอิน
นางได้ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับยาเพิ่มพลังการก่อเกิดมาทีละเล็กทีละน้อย ของอย่างเดียวที่นางขาดไปคือต้นเฟิร์นอินทรีดำอายุห้าร้อยปีซึ่งนางถามทางร้านค้าของโรงเรียนให้ช่วยตามหาให้นาง
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้านค้าของโรงเรียนมีเสบียงสินค้ามากมายหรือเพราะทางร้านเพิ่มความพยายามมากขึ้นด้วยเห็นแก่ท่านอาจารย์ของนาง นั่นคือท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอ เพียงสองสามวันถัดมา นางก็ได้รับเครื่องรางกระจายเสียงที่บอกว่าต้นเฟิร์นอินทรีดำมาถึงแล้ว
โม่เทียนเกอรีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อยและมุ่งหน้าไปยังตลาดนัดภายในโรงเรียน
ตลาดนัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาหลัก มีขนาดไม่ใหญ่และมีถนนเพียงสองสาย อย่างไรก็ตาม โรงเรียนนี้มีศิษย์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีคนเข้าออกพลุกพล่านอยู่เรื่อยๆ ตลาดนัดจึงครึกครื้นมาก ร้านค้าส่วนใหญ่ที่นั่นดำเนินการโดยศิษย์จากหลายๆ ยอดเขาของโรงเรียน ถ้าศิษย์จากยอดเขาที่ดูแลร้านค้าต้องการซื้ออะไร พวกเขาก็จะได้ส่วนลด นอกจากนั้น พวกศิษย์ที่ต้องการขายของก็สามารถเปิดร้านแผงลอยเล็กๆ ริมถนนได้โดยตรง ทุกๆ อย่างนั้นช่างสะดวกสบาย
การทำธุรกรรมที่นี่ถูกคุ้มครองโดยโถงพิทักษ์กฎหมาย หากมีการซื้อขายที่ฉ้อโกงกันหรือเรื่องอื่นๆ อย่างการบังคับขู่เข็ญระหว่างการซื้อขาย ผู้กระทำผิดจะถูกสั่งให้คืนเงินหลังจากการสอบสวน ส่วนในกรณีที่ร้ายแรง พวกเขาอาจถึงขั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียน เพราะเหตุผลเช่นนี้ ศิษย์ทุกคนของโรงเรียนจึงชอบที่จะซื้อของกันที่นี่เพราะพวกเขารู้สึกว่าปลอดภัยดี
เมื่อโม่เทียนเกอมาถึงตลาดนัด นางไม่ได้หยุดที่ไหน แต่ตรงไปยังร้านขายยาของยอดเขาวสันต์กระจ่างซึ่งได้ส่งการแจ้งเตือนมาหานาง
ร้านขายยาร้านนี้ไม่ได้ใหญ่โตแต่ธุรกิจของพวกเขานั้นค้าขายได้ดี มีผู้อุปถัมภ์ที่เป็นศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายคนทั้งมาและไป และผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็มีให้พบเห็นได้ไม่ยาก
หลัวเฟิงเสวี่ยบอกนางว่าโรงเรียนเสวียนชิงมีศิษย์ระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าห้าร้อยคนและโม่เทียนเกอก็เชื่อนาง บนภูเขาไท่คัง ไม่ว่านางจะไปที่ไหน นางก็สามารถบังเอิญพบเจอเข้ากับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังได้ง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีอยู่จำนวนมากทีเดียว
“ศิษย์พี่” โม่เทียนเกอเรียกพนักงานร้านที่กำลังยุ่งอยู่หลังจากนางเข้าไปในร้าน “ข้ามารับต้นเฟิร์นอินทรีดำ”
พนักงานร้านใส่ชุดเครื่องแบบของศิษย์ทั่วไปและอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับห้าเท่านั้น เขาหันมาเมื่อได้ยินเสียงนาง แต่เมื่อเขาเห็นชุดคลุมที่นางใส่ เขาก็โบกไม้โบกมือและบอกว่า “ศิษย์พี่สุภาพเกินไปแล้ว ข้ายอมให้ท่านเรียกข้าว่า ‘ศิษย์พี่’ ไม่ได้หรอก อืม ต้นเฟิร์นอินทรีดำหรือ ท่านคือศิษย์พี่โม่เทียนเกอจากยอดเขาวสันต์กระจ่างใช่หรือไม่”
พอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเขา ในที่สุดโม่เทียนเกอก็รู้ว่าตอนนี้ตัวตนของนางแตกต่างไปและนางไม่จำเป็นต้องนอบน้อมหรือยอมอ่อนข้ออย่างตอนที่นางอยู่ในเขาอวิ๋นอู้ นางเป็นศิษย์ลงนามของท่านปรมาจารย์จิ้งเหอ ซึ่งนี่เป็นตำแหน่งที่แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็ยังปรารถนา หากนางจะทะนงตนขึ้นอีกเล็กน้อยในโรงเรียนเสวียนชิงก็ย่อมได้ อันที่จริง ถ้าการวางตัวของนางสงบเสงี่ยมเจียมตัวเกินไป คนอื่นก็อาจจะดูถูกนางได้
หลังจากนางรู้ตัว นางก็ยืดตัวอย่างใจเย็นและบอกกับพนักงานว่า “ใช่ ร้านของท่านติดต่อข้ามาและบอกว่าต้นเฟิร์นอินทรีดำอายุห้าร้อยปีของข้ามาถึงแล้ว ข้ามาเพื่อรับของ”
“ใช่ ใช่แล้วศิษย์พี่ กรุณารอตรงนี้สักครู่” พนักงานกล่าว จากนั้นเขารีบวิ่งเข้าไปในห้องเก็บของด้านหลัง
“ศิษย์พี่” พนักงานร้านอีกคนเข้ามาหานางเพื่อบริการชาและกล่าวว่า “กรุณานั่งตรงนี้สักครู่และดื่มชาก่อนขอรับ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าและบอกเขาว่า “ขอบคุณ”
ทันทีที่นางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในร้าน
พนักงานคนที่บริการชาให้นางรีบก้าวไปข้างหน้าและทักทายเขา “อาจารย์ลุงเยี่ย ท่านมาแล้ว! “
ชายคนที่เข้าร้านมาคือผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่ดูยังหนุ่ม เขากวาดสายตาทั่วร้านอย่างสบายๆ และถามว่า “ดอกไห่ถัง มีอยู่ในคลังหรือไม่”
พนักงานคนนั้นยิ้มและพูดว่า “เพิ่งมาถึงวันนี้ขอรับ เชิญนั่งลงก่อน ข้าจะไปรวบรวมมาให้”
พนักงานตะโกนไปยังห้องเก็บของหลังร้านและพาชายคนนั้นไปนั่งที่ด้านข้างพร้อมกับรินชาให้เขา
ขณะที่ชายคนนั้นดื่มชา เขาดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของโม่เทียนเกอ เขาหันมาทางนาง เผยรอยยิ้มเป็นมิตรแล้วจึงก้มหน้าดื่มชาอีกครั้ง
ท่าทางของคนผู้นี้สงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักนางแต่ก็ไม่ได้ตำหนิที่นางทำตัวหยาบคาย แน่นอนว่าเขามีอารมณ์อ่อนโยน
โม่เทียนเกอไม่ได้ทำตัวเคารพนบนอบเหมือนอย่างศิษย์การหลอมรวมพลังวิญญาณทั่วไปเมื่อเห็นผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ดวงตาของนางมีความสงสัยอยู่ขณะที่นางพูดอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาจารย์ลุง ข้าขอถามได้ไหมว่า…”
ชายคนนั้นเงยหน้ามองเมื่อได้ยินเสียงนาง
หลังจากนางสำรวจใบหน้าที่ดูองอาจของชายหนุ่มและนึกถึงคำว่า “อาจารย์ลุงเยี่ย” โม่เทียนเกอก็เกือบจะมั่นใจเต็มร้อย กระนั้นนางก็ยังต้องการแน่ใจจึงถามว่า “อาจารย์ลุง ชื่อท่านคือเยี่ยจิ่งเหวินใช่หรือไม่”
เมื่อเขาได้ยินคำถามของนาง ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เขาตอบว่า “ถูกต้องแล้ว ข้ารู้จักเจ้ารึ”
ใช่เขาจริงๆ ด้วย!
หน้าตาเยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก สิบปีสำหรับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังถือว่าไม่นานเลย เขายังมีหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์เฉกเช่นก่อนหน้านี้ โม่เทียนเกอจึงจำเขาได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูคุ้นเคยของเขา ความทรงจำจากในอดีตก็แล่นเข้าสู่จิตใจของโม่เทียนเกอ นางพูดว่า “…อาจารย์ลุงจำได้หรือไม่… สิบปีก่อน หมู่บ้านตระกูลโม่ในมณฑลเหลียนเฉิงแคว้นจิ้น”
หลังจากชั่วขณะหนึ่งของความสับสน เยี่ยจิ่งเหวินดูประหลาดใจเล็กน้อย เขาค่อยๆ สำรวจรูปลักษณ์ของนางอย่างระมัดระวัง เขานึกอะไรออกและจึงพูดว่า “เจ้า… เจ้าคือเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าและยิ้มให้ จากนั้นนางยืนขึ้นและโค้งคำนับเขา “ในอดีต ข้าไม่เข้าใจเจตนาดีของท่านและจากไปโดยไม่ได้กล่าวลา วันนี้ข้าต้องขออภัยท่านด้วย”
เมื่อเห็นว่านางคำนับเขาอย่างเป็นทางการ เยี่ยจิ่งเหวินรีบลุกขึ้นและโค้งคำนับกลับ “โปรดอย่าทำเหมือนข้าเป็นคนแปลกหน้าเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะข้าไม่ได้อธิบายให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน…”
เขายังพูดไม่ทันจบแต่พนักงานก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนว่า “ท่านอาจารย์ลุงเยี่ย ศิษย์พี่โม่ พืชวิญญาณของท่าน… อ๋า! ทั้งสองท่านรู้จักกันด้วย! “
เห็นได้ชัดว่าพนักงานคนนี้สับสนเพราะความตกใจ เขาถึงกับลืมยื่นพืชวิญญาณมาให้ โชคดีที่พนักงานอีกคนมีไหวพริบดีและรีบยื่นพืชวิญญาณให้พวกเขา “ท่านอาจารย์ลุงเยี่ย ศิษย์พี่โม่ กรุณาตรวจดูด้วยว่าของของท่านมีปัญหาอะไรหรือไม่”
โม่เทียนเกอและเยี่ยจิ่งเหวินยิ้มให้กันก่อนจะตรวจสอบของของตัวเอง
“ไม่เลว ต้นเฟิร์นอินทรีดำนี้อายุมากพอดู… ต้นนี้ราคาเท่าไหร่รึ”
พนักงานตอบว่า “รวมทั้งหมดสามร้อยศิลาวิญญาณขอรับ แต่เนื่องจากท่านเป็นศิษย์จากยอดเขาวสันต์กระจ่าง ท่านจะได้ส่วนลดหนึ่งส่วน ดังนั้นทั้งหมดคือสองร้อยเจ็ดสิบศิลาวิญญาณขอรับ”
แม้ว่าต้นเฟิร์นอินทรีดำจะไม่ได้หายาก แต่ราคานี้สำหรับพืชวิญญาณอายุห้าร้อยปีก็ยังจัดว่าถูกมาก ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงไม่ได้คัดค้านอะไรและจ่ายศิลาวิญญาณให้ทันที”
เมื่อโม่เทียนเกอเก็บพืชวิญญาณของนางเสร็จ เยี่ยจิ่งเหวินก็ทำการซื้อของๆ เขาเสร็จแล้วเช่นกันและเดินมาหานาง “นี่… เทียนเกอหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม
เยี่ยจิ่งเหวินก็ยิ้มให้นางเช่นกัน เมื่อพวกเขาออกจากร้าน โม่เทียนเกอได้ยินเขาพูดว่า “ข้าอยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิ ข้าเพิ่งออกมาเมื่อสองวันก่อนนี้เองที่ข้าได้ยินว่าเจ้ามาที่โรงเรียนเสวียนชิง ข้าเลยยังไม่มีโอกาสได้ทักทายเจ้า… เจ้าโตขึ้นมากจริงๆ ข้าจำไม่ได้เลย”
ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่ได้ดูตกใจมากนัก ปรากฏว่าเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่นางจะมาที่โรงเรียนเสวียนชิงอยู่ก่อนแล้วนี่เอง
“อาจารย์ลุงเยี่ย…”
“นี่ อย่าเรียกข้าแบบนั้นสิ” พอได้ยินที่นางเรียกเขา เยี่ยจิ่งเหวินส่ายหน้าปรามนาง “ข้ารู้ว่าปรมาจารย์จิ้งเหอรับเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ลงนามของเขาเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ศิษย์ลงนามจะไม่ได้รวมอยู่ในการจัดลำดับอาวุโส แต่เจ้าก็มีอาจารย์ลุงเสวียนอินคอยสอนใช่ไหม ตามกฎแล้วเรียกข้าว่าศิษย์พี่ก็เพียงพอแล้วล่ะ อีกอย่าง สมัยนั้นเจ้าเคยเรียกข้าว่าพี่ใหญ่เยี่ย”
“นี่…” โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเรียกเขาตรงๆ ว่า “พี่ใหญ่เยี่ย”
เยี่ยจิ่งเหวินอดจะถอนใจไม่ได้เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ “หลายปีผ่านไปในชั่วพริบตา ตอนนี้เจ้าโตเป็นสาวแล้ว… เทียนเกอ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างในหลายปีที่ผ่านมานี้”
ชั่วขณะหนึ่งโม่เทียนเกอสับสนว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
ถ้านางตอบว่าดี ก็จะเป็นการเมินความเป็นจริงที่ว่านางต้องอดทนกับความยากลำบากมากมาย แต่ถ้านางตอบว่าไม่ดี นางก็จะเมินความเป็นจริงที่ว่าท่านอารองปกป้องชีวิตของนางด้วยชีวิตของเขาเองและนางก็รู้สึกโชคดีมาก
“ข้าก็… ค่อนข้างสบายดี กระมังนะ”
เยี่ยจิ่งเหวินมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากสีหน้าขัดแย้งในตัวเองของนางว่านางต้องทนกับความยากลำบากมามากตลอดสองสามปีที่ผ่านมา เขาถอนหายใจและกล่าวว่า “เป็นความผิดข้าเองที่ไม่ได้อธิบายเรื่องต่างๆ ให้แจ่มแจ้ง หลังจากเจ้าทั้งสองหายตัวไป ข้ายังไม่เข้าใจว่าปัญหาคืออะไร แต่หลังจากที่ข้าได้ยินข่าวของเจ้าเมื่อสองวันก่อน ในที่สุดข้าก็เข้าใจเหตุผล…”
ที่จริงแล้วโม่เทียนเกอก็รู้สึกผิดมากมาโดยตลอดที่สงสัยเยี่ยจิ่งเหวินว่าเขามีเจตนาร้าย พอตอนนี้ที่เขาพูดถึงความสับสนที่เขารู้สึกมาตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจ “ขอโทษนะพี่ใหญ่เยี่ย ท่านอาแค่เป็นห่วงข้า ท้ายที่สุดแล้วพวกข้าก็ทำให้ท่านทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ”
เยี่ยจิ่งเหวินบอกว่า “เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้หรอก เจ้าทั้งสองคนจากไปด้วยความสมัครใจ ศิษย์พี่เจิ้งแห่งเขาตงเหมิงเป็นพยานให้ข้า อีกอย่างนะ แทนที่จะโดนลงโทษ อาจารย์ลุงโส่วจิ้งกลับให้รางวัลข้ามากมาย… ถ้าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้น ข้าจะก้าวหน้าเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังอย่างรวดเร็วได้อย่างไรล่ะ”
“อ้อ เข้าใจละ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องยินดีกับพี่ใหญ่เยี่ยด้วย” โม่เทียนเกอรู้ว่าเยี่ยจิ่งเหวินไม่ได้อายุมากนัก สมัยนั้นอายุจริงของเขาดูเหมือนจะอยู่ราวๆ สามสิบปี ดังนั้นคาดว่าตอนนี้เขาน่าจะอายุประมาณสี่สิบ ใช่ไหม ถือได้ว่าเขาเข้าสู่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังตั้งแต่อายุยังน้อยเลยทีเดียว
เยี่ยจิ่งเหวินยิ้มและส่ายหน้า “เป็นเพราะโชคช่วยน่ะ ไม่ใช่เพราะความสามารถของข้าเองหรอก ในทางกลับกัน ตัวเจ้าตอนนั้นอยู่แค่ในระดับสองของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ แต่เจ้าก็เข้าถึงจุดสูงสุดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วในเวลาสิบปีต่อมา! ความสามารถของเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ระดับหัวกะทิจากกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ เลย! “
โม่เทียนเกอแค่ยิ้มและพูดว่า “เป็นเพราะข้าทานยาวิเศษเยอะเท่านั้นเอง”
นั่นเป็นความจริง ถ้าท่านอารองไม่ได้ให้นางทานยาวิเศษราวกับมันเป็นข้าว นางก็คงจะเข้าถึงแค่ระดับหกหรือเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเป็นอย่างมาก คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะเข้าถึงประตูแห่งดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง ณ เวลานี้!
“อย่าถ่อมตัวมากนักเลย ถ้าเจ้าอยู่ในโรงเรียนเสวียนชิงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าคงไม่ชมเจ้าหรอก”
โม่เทียนเกออดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ นั่นก็ค่อนข้างสมเหตุสมผลดี คนอื่นอาจจะไม่รู้ถึงต้นทุนธรรมชาติของนาง แต่เยี่ยจิ่งเหวินรู้ดี ความสำเร็จของนางนั้นที่จริงแล้วยากจะทำให้สำเร็จได้สำหรับคนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุและไม่มีกลุ่มการฝึกตนให้พึ่งพาอาศัย ไม่ง่ายเลยสำหรับคนอย่างนางที่จะไปถึงประตูแห่งดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังภายในสิบปีได้
“จริงสิ แล้วเจ้าเจอกับอาจารย์ลุงโส่วจิ้งได้อย่างไรรึ ช่างบังเอิญจริงๆ “
“เอ๋” โม่เทียนเกอพูดอย่างงุนงง “ข้าไม่ได้เจอท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง ข้าเพิ่งเจอศิษย์พี่ฉินซี ท่านอารองใช้เครื่องรางกระจายเสียงหมื่นลี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้ง แต่ศิษย์พี่ฉินบังเอิญอยู่ในบริเวณใกล้ๆ จึงถูกสั่งให้มาช่วยพวกเรา”
“ฉินซีหรือ” เยี่ยจิ่งเหวินกล่าวขณะที่คิดกับตัวเองในใจ ชื่อนี้… เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน… ถึงแม้ว่าจะมีคนมากมายในยอดเขาวสันต์กระจ่าง แต่ใครบางคนที่ถูกมอบความไว้วางใจให้ทำงานเช่นนี้โดยอาจารย์ลุงโส่วจิ้งอย่างน้อยก็ควรจะเป็นศิษย์ภายในที่ใกล้ชิด
“ใช่แล้ว พี่ใหญ่เยี่ยคุ้นชื่อนั้นหรือไม่ ศิษย์พี่ฉินเป็นศิษย์ผู้น้อยของท่านอาจารย์เต๋าโส่วจิ้งที่มีสายเลือดเดียวกัน ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในรุ่นเดียวกับท่าน”
ศิษย์ผู้น้อยที่มีสายเลือดเดียวกัน? ถึงแม้ว่าเยี่ยจิ่งเหวินจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ พอคิดอีกที เขาก็ไม่เคยรู้ว่าชื่อจริงของท่านอาจารย์ลุงโส่วจิ้งชื่ออะไรเหมือนกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
ด้วยความคิดเช่นนี้ เยี่ยจิ่งเหวินจึงถามอีกว่า “ศิษย์พี่ฉินคนที่เจ้าพูดถึง เขาสูงเกือบเท่าข้า ไม่ชอบพูดคุย ไม่ค่อยแสดงสีหน้า และก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกตนทุกวันใช่ไหม”
“อืม… เดิมทีเขาเป็นแบบนั้น แต่ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ฉินไม่ชอบพูดคุยหรอกนะ เขามักจะยิ้มบ่อยๆ ด้วยเมื่อได้สนิทกับเขา”
“…”
“พี่ใหญ่เยี่ย มีอะไรหรือ” โม่เทียนเกอรู้สึกสับสนเล็กน้อย หรือว่าศิษย์พี่ฉินอาจจะไม่ค่อยถูกกับคนอื่น? ทำไมทุกคนที่ข้าคุยด้วยเรื่องเขาต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้นะ
“ไม่มีอะไรหรอก” เยี่ยจิ่งเหวินเช็ดเหงื่อที่หน้าและเปลี่ยนเรื่อง “ช่วงนี้เจ้าคงกำลังใกล้จะสร้างฐานแห่งพลังแล้วสินะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าและตอบว่า “ใกล้แล้ว ข้าคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อเตรียมตัวให้เสร็จ แต่หลังจากนั้นข้าจะเข้าสู่การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิเพื่อสร้างฐานแห่งพลังของข้า”
“อืม การเตรียมตัวมากขึ้นอีกนิดนั้นก็ดีสำหรับช่วงระหว่างการสร้างฐานแห่งพลัง ไม่มีอะไรเสียหาย… อย่าลังเลที่จะบอกข้านะถ้าเจ้ามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ”
เมื่อเห็นว่าเขากระตือรือร้นมาก โม่เทียนเกอจึงยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณมาก”