ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 137
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 137 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซู่ (3)
ครั้งนี้เมื่อแม่นางแซ่สวี่เห็นว่านางยอมอย่างว่าง่ายเช่นนี้ ในใจของนางก็เริ่มเกิดความสงสัย เพราะความเฉลียวฉลาดและหัวไวของหนานกงมู่เสวี่ย นางผู้เป็นแม่ย่อมเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ช่างเถิด บางทีนางอาจจะคิดมากเกินไป
เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยได้ยินเสียงปิดประตูไปแล้ว นางก็รีบยกตัวลุกขึ้นนั่งทันทีแล้วร้องเรียก “เสี่ยวเว่ย ออกมา”
เสี่ยวเว่ยคือองครักษ์ของนาง เป็นคนที่ติดตามนางมาตั้งแต่นางเกิด
“จวิ้นจู่” ผู้ใส่ชุดดำนั่งทำหน้าเฉยเมยราวกับตนเป็นอาวุธอันหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเอ่ยขึ้น “จวิ้นจู่มีอะไรให้รับใช้หรือ”
“เจ้าลองไปสืบดูหน่อยว่า ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดจากสาเหตุอะไร! แล้วตอนนี้คนของจวนอันผิงอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง!” หนานกงมู่เสวี่ยเลิกผ้าห่มเปิดออกแล้วกลืนน้ำลายพลางเอ่ยปากสั่ง เพราะว่า…บางทีอาจเป็นเพราะสัญชาตญานอันแหลมคมแบบคนในราชวงศ์กระมัง ที่ทำให้ในใจของนางวุ่นวายปั่นป่วนไปหมด
อาซู่ ขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าเลย
“ขอรับ” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง เพียงชั่วขณะเดียว คนผู้นั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หนานกงมู่เสวี่ยรออย่างร้อนใจอยู่เป็นเวลาสามวัน ในระยะเวลาสามวันนี้ ผู้คนหมุนเวียนสับเปลี่ยนมาหานาง แต่นางยังคงเก็บอาการทุกอย่างไว้ได้อย่างดี หากมองเผินๆ นางเป็นเพียงเด็กน้อยผู้น่าสงสารที่กำลังป่วยหนักเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าในใจของนางในตอนนี้เตรียมแผนการไว้มากมายขนาดไหน
“จวิ้นจู่ เรื่องราวถูกสืบมาอย่างกระจ่างแล้ว”
“ว่ามา” มือของหนานกงมู่เสวี่ยบีบแน่นอยู่ในแขนเสื้อตัวเอง แล้วฟังการรายงานด้วยเสียงเย็นชาของผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทุกคำพูด
“จวิ้นจู่เหตุการณ์ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้”
“อ้อ…ดี” หนานกงมู่เสวี่ยพยักหน้า “เจ้าออกไปเถิด”
“ขอรับ”
หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่นางคิดว่าความฉลาดไม่ดีเลยสักนิด ยอมเป็นโง่จะดีกว่า
สิ่งที่เสี่ยวเว่ยรายงาน ตรงกับที่นางเดาไว้แปดถึงเก้าส่วน เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จวนอันผิงอ๋อง…เกี่ยวข้องกับพวกเขาจริงๆ!
พรรคพวกที่เหลือของรัชทายาท ไม่ยอมหมดหวัง…หนานกงมู่เสวี่ยพลิกตัวนอนอยู่บนเตียง
จวนอันผิงอ๋องกับจวนเหิงชินอ๋องอยู่ห่างกันเพียงครึ่งถนนเท่านั้น! หากบอกว่าไปช่วยไม่ทัน ผู้ใดจะเชื่อเล่า?!
แต่ในวันนั้นจวนเหิงชินอ๋องกลับไม่ได้ส่งคนไปช่วย เพราะเหตุใดเล่า? เหตุผลนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนมาก นั่นเป็นเพราะเหิงชินอ๋องหวาดกลัว กลัวว่าเรื่องเรื่องนี้จะเข้าตัว พรรคพวกที่เหลือขององค์รัชทายาทมีเหลืออยู่เท่าไหร่ ตอนนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
หากตอนนี้ให้ความช่วยเหลือ…เกรงว่าจะ…
เฮ้อ หนานกงมู่เสวี่ยแค่นยิ้ม ความรักเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าที่สุดในราชวงศ์ ความรักใคร่กลมเกลียวในอดีตระหว่างอันผิงอ๋องกับบิดาของนาง ภาพความจริงใจที่มีให้แก่กันกลับมาผุดขึ้นตรงหน้านางอีกครั้ง
ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเช่นนั้น ทว่าเมื่อถึงก้าวสำคัญที่ต้องเผชิญกับความลำบากกลับต้องแยกย้ายกันไป
……
“อะไรนะ? เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปขอเป็นศิษย์ของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นงั้นหรือ?!” เสียงไม่อยากจะเชื่อของเหิงชินอ๋องดังขึ้นมาจากด้านในห้องหนังสือ “มู่เสวี่ย! วันหนึ่งๆ ทำไมเจ้าถึงคิดถึงแต่เรื่องไร้สาระ! ร่างกายของเจ้ายังไม่…”
“ลูกดีขึ้นแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยมองไปที่บิดาของนางอย่างสงบแล้วเอ่ยขัดขึ้น “ข้าดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่าง ข้าจะต้องไปให้ได้!”
ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใด บางที…อาจแค่เพราะ…
นางเพียงอยากไปให้เห็นกับตาเท่านั้น อาซู่ ท่านจะต้องไม่เป็นอะไร!
สามเดือนต่อมา
“เสี่ยวมู่เสวี่ย! เจ้ามาได้อย่างไร!” หนานกงซู่มองไปยังแม่นางตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงปากประตูบ้านตัวเอง เขาตกตะลึงจนลืมไปด้วยซ้ำว่าในมือของเขาถือถังน้ำอยู่
เสียง “ตึ้ง” ลอยดังขึ้น หนานกงซู่ทิ้งสิ่งของที่อยู่ในมือของตัวเองลงแล้ววิ่งไปข้างหน้า “เสี่ยวมู่เสวี่ย เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดจึงไม่พูดไม่จา? เอ๋อไปแล้วรึ?” หนานกงซู่ยื่นมือออกไปโบกตรงหน้าหนานกงมู่เสวี่ย “เห็นหรือไม่ว่าข้ายื่นนิ้วออกมากี่นิ้ว?”
พวกเขาสองคนไม่ได้เจอหน้ากันไม่นานนัก…เหตุใดเสี่ยวมู่เสวี่ยถึงดูเลื่อนลอยเช่นนี้? หรือว่า…เห็นว่าเขาตื่นเต้นจนเกินไปจนทำให้พูดอะไรไม่ออก?
“อา อาซู่…” หนานกงมู่เสวี่ยเหม่อมองไปยังเด็กชายที่มีท่าทางร้อนใจที่อยู่ตรงหน้านาง จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ “อาซู่ เจ้ายังอยู่ ดียิ่ง…”
สภาพของจวนอันผิงอ๋องเป็นอย่างไร ใช่ว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะไม่รู้ เพราะว่านางบังคับองครักษ์ของนางให้พานางไปดูมาแล้ว
ที่นั่นมีแต่ร่องรอยของเศษขี้เถ้าสีเทา บรรยากาศเงียบสงัดราวกับว่าที่นั่นไม่เคยมีผู้ใดเคยอาศัยอยู่มาก่อน ความเงียบสงัดเช่นนั้น…เงียบเสียจนทำให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกจิตใจปั่นป่วน
คนของฝั่งรัชทายาทมีจิตใจโหดเ**้ยมเหมือนอย่างเคย ที่นั่นนอกจากจะไม่มีคนหลงเหลืออยู่แล้ว สัตว์เลี้ยงที่บรรดาภรรยาและอนุภรรยาเลี้ยงไว้ก็ไม่เหลือรอด ทั้งหมดถูกสังหารทิ้งอย่างราบคาบ
ดังนั้นหนานกงมู่เสวี่ยรู้สึกกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะหนานกงซู่เป็นสายเลือดของอันผิงอ๋องที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย ผู้ใดจะรู้ว่าพวกคนบ้านั่นจะไม่สนว่าเป็นภูเขาและบุกขึ้นมาค้นหาที่นี่เพื่อเอาชีวิตของหนานกงซู่ไป?
ทว่ายังดี…ยังดี…
“อาเสวี่ยมาแล้วหรือ” มีเสียงดังขึ้นหลังจากนั้นประตูห้องก็ถูกผลักออกและก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีลักษณะราวเทพเซียนเดินออกมา “ในเมื่อมาแล้ว ก็ควรปล่อยวางได้แล้ว”
นักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นเอ่ยว่า “ที่นี่คือสถานที่สำหรับฝึกปฏิบัติ มิใช่สถานที่สำหรับจัดการปัญหาหัวใจ ในเมื่อเจ้าขอร้องมาตั้งนานกว่าจะได้มาที่นี่ ฉะนั้นก็อย่าทำให้เสียโอกาสเลย มิเช่นนั้นข้าจะไล่เจ้าลงเขาไปเสีย” เมื่อสิ้นเสียงของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นสายตาของเขาก็เหลือบมามองหนานกงมู่เสวี่ย
เป็นสายตาที่มองกวาดมาอย่างรวดเร็ว แต่หนานกงมู่เสวี่ยก็สังเกตเห็นได้
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” หนานกงมู่เสวี่ยมองไปยังนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋น “คำสั่งสอนของท่านอาจารย์ ศิษย์จะจำเอาไว้เป็นอย่างดี”
นักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเอามือไพล่หลังแล้วเดินไป แต่สุดท้ายแล้วในขณะที่เขากำลังจะลับสายตาของคนทั้งคู่ไป เขาก็แอบถอนใจ
การคิดมากทำให้เกิดโทษ ความรู้สึกที่ลึกซึ้งไม่ยืดยาว…
“เสี่ยวมู่เสวี่ย เจ้าอย่าไปสนใจท่านอาจารย์!” เมื่อหนานกงซู่เห็นว่านักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นไปแล้ว ใบหน้าท่าทางของเขาก็กลับคืนสู่ความสดใสยิ้มแย้มอีกครั้ง “ท่านอาจารย์แสร้งทำต่างหาก! ครั้งแรกที่ข้าพบเขา เขาก็เป็นเช่นนี้ พอเจ้ารู้จักเขาไปนานๆก็จะรู้เอง ภายนอกเขาแสดงออกแบบนั้น แต่อันที่จริงแล้ว…”
เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นปากของหนานกงซู่ขยับปิดๆ เปิดๆ พูดคุยไม่รู้จบไม่รู้สิ้น สุดท้ายแล้วใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มที่มาจากใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันมานี้
“เสี่ยวมู่เสวี่ยยิ้มอะไร?” หนานกงซู่ไม่ค่อยพอใจนัก “น่าตลกมาหรือ?”
“เปล่า” หนานกงมู่เสวี่ยส่ายหน้า “ท่านพูดต่อสิ ข้าจะฟังจนจบ” พูดต่อเถอะ ให้นางได้ฟังเสียงของเขามากกว่านี้หน่อย
“ช่างเถอะๆ ไม่พูดแล้ว” หนานกงซู่ครุ่นคิดพลางโบกมือปฏิเสธ “จริงสิเสี่ยวมู่เสวี่ย ตอนนี้สถานการณ์ด้านล่างเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านพ่อท่านแม่ของข้า…ช่วงนี้พวกเขาทั้งสองคนเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านแม่คงคิดถึงข้ามากแล้วใช่หรือไม่ ฮ่าๆๆ? ไหนยังมีเสี่ยวไป๋กับเสี่ยวฮวาอีก ตอนนี้หน้าตาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ข้าไม่ได้ลงจากเขานานแล้ว ข้าคิดถึงพวกเขามาก”
“พวกเขา…” หนานกงมู่เสวี่ยหยุดชะงักไป ตอนนั้นนางไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี
เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้นางควรพูดว่าอย่างไร? ให้บอกว่า…พวกเขาไม่อยู่แล้วหรือ? พวกเขาตายกับหมดแล้ว? อีกอย่างการตายของพวกเขา…กับการเพิกเฉยของพ่อของนาง จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน