ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 143
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 143 จ้องมอง
“องค์ชายสามขอรับ” ขันทีน้อยที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกระตุ้น “องค์ชาย พวกเราควรไปได้แล้วนะขอรับ” พระอาทิตย์ร้อนแรงเช่นนี้ ผู้ใดจะมีอารมณ์เอ้อระเหยตากแดดอยู่เป็นเพื่อนเช่นนี้เล่า รีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วรีบกลับไปที่เรือน นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องที่ถูกที่ควร!
“เจ้าอวี่” เมื่อองค์ชายสามเห็นว่านางได้เลี้ยวลับตาไปจนไม่เห็นเงาแล้วก็เบนสายตากลับมาแล้วเอ่ยว่า “นี่คือลูกสาวของจวนแม่ทัพใหญ่ซูปั๋วชวนหรือ พอได้มองใกล้ๆ …ฮ่าๆ “
“ใช่ ใช่ขอรับ…” ขันทีผู้ที่มีนามว่า เสียวอวี่จึผู้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “ทำไมหรือขอรับองค์ชาย เมื่อก่อนท่านเคยพบมาบ้างแล้วมิใช่หรือ…” เสียวอวี่จึตะโกนอยู่ในใจว่า องค์ชายคงมิได้สนใจในตัวคุณหนูซูขึ้นมากระมัง! แต่นั่นคือคุณหนูซูเชียวนะ! ไม่ใช่คนที่ท่านจะปั่นหัวเล่นได้เช่นปกติพวกนั้น!
องค์ชายสามหรือหนานกงหงเลียริมฝีปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตาของเขาเดิมทีที่ถูกเนื้อบีบเสียจนแทบจะหายไปนั้น ตอนนี้เมื่อเขายิ่งหรี่ตาลงก็ยิ่งทำให้ตาของเขาแทบหายไปเข้าไปอีก เขาเอ่ยว่า “เจ้าอวี่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ไปเถิด ตรงนี้อากาศร้อนยิ่ง”
ซูเหลียนอวิ้น? บุตรสาวของซูปั๋วชวน…หากแค่ปั่นหัวนางเล่น นั่นคงจะน่าเสียดายแย่มิใช่หรือ และเท่ากับว่าฐานะของเขาคงจะเสียเปล่าไปเฉยๆ
ณ พระราชวังของฮองเฮา
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “วันนี้อากาศร้อนยิ่ง ลำบากเช่นนี้เจ้ายังอุตส่าห์มาหาข้าถึงที่นี่ น่ารักยิ่ง…” เกาอู่เตี๋ยเอามือตบไปที่บนที่นั่งข้างๆ ตน “มานั่งตรงนี้เร็วเข้า ตรงข้ามีอ่างน้ำแข็งวางไว้มากหน่อย จะช่วยให้เจ้ารู้สึกเย็นขึ้นบ้าง”
ซูเหลียนอวิ้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเองพร้อมเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฮองเฮาสำหรับการต้อนรับขับสู้เพคะ” นางร้อนแทบแย่แล้วจริงๆ ตอนนี้แม้แต่คำพูดตามมารยาทอะไรก็ไม่อยากพูดทั้งนั้น อีกอย่างในเมื่อฮองเฮาเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเองแล้ว นางยังจะต้องกระอักกระอ่วนอยู่ทำไมกัน
หากว่ากันตามจริงแล้ว แน่นอน เจ้าต้องนั่งอยู่ด้านล่าง แต่หากทำอย่างนั้น…เท่ากับนางหาความลำบากใส่ตัวโดยแท้
“องค์ชายเก้าก็อยู่ด้วยเช่นกัน” เมื่อซูเหลียนอวิ้นนั่งลง นางก็รู้สึกถึงไอเย็นรอบๆ เคลื่อนผ่าน ความรู้สึกเย็นสบายนั้นทำให้นางหายร้อนไปได้มากทีเดียว
เมื่อหันไปข้างๆ ซูเหลียนอวิ้นจึงเห็นเจ้าเด็กแสบนั่งเรียบร้อยเป็นเด็กดีอยู่เงียบๆ ข้างๆ ฮองเฮาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากออกไปว่า “องค์ชายเก้า เหตุใดพระองค์ดูอารมณ์ไม่ดีเลยเล่าเพคะ คงมิได้…ไม่อยากเห็นหน้าหม่อมฉันกระมัง”
เจ้าเด็กแสบ! เรื่องราวในพิธีปักปิ่นเรื่องนั้นยังไม่ได้ทันจัดการเลย! ตอนนี้มีโอกาสดีเช่นนี้หากนางยังไม่ยอมคว้าเอาไว้ นางก็อย่าอยู่ตระกูลซูเลย! เพราะความแค้นของคนตระกูลซูมิอาจปล่อยผ่านได้!
อีกอย่างตอนนี้มีฮองเฮาอยู่ข้างๆ เจ้าเด็กนี่จะต้องทำตัวเป็นเด็กดีตลอดเวลาแน่นอน และไม่กล้าหาเรื่องนางอย่างแน่นอน
“คุณหนูซูคิดมากเกินไปแล้ว” หนานกงเช่อเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาเป็นน้ำเสียงของเด็กที่ใสซื่อและนุ่มนวล “ข้าเพียงคิดว่า คุณหนูซูมาช้าเกินไปหรือไม่ เพราะ…ตั้งแต่ที่คุณหนูซูเข้าวังมาจนถึงตอนนี้ เวลาผ่านไปไม่น้อยแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูซูหรือ”
เมื่อเกาอู่เตี๋ยได้ยินหนานกงเช่อเอ่ยเช่นนี้ก็มีปฏิกิริยาแล้วเอ่ยว่า “จริงด้วยอวิ้นเอ๋อร์ ด้านนอกร้อนขนาดนั้น เหตุใดเจ้าถึงมาช้าเพียงนี้ ระหว่างทางเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าเสียเวลาหรือ มิต้องกลัว เจ้าพูดออกมาได้เลย ข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”
“เอ่อ…”
เจ้าเด็กบ้า! ซูเหลียนอวิ้นเหลือบตามองหนานกงเช่อ เนื่องจากเรื่องที่นางเจอองค์ชายสามหรือหนานกงหงระหว่างทางนั้น…ตามจริงแล้วเป็นเรื่องที่นางไม่อยากพูดถึงมากเท่าไหร่นัก
เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนัก อีกอย่างยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ตอนสุดท้ายที่นางเดินจากมา สายตาของหนานกงเช่อน่าสยดสยองอย่างยิ่ง! ถึงแม้ว่านางจะหันหลังให้ แต่นางยังสามารถรับรู้ได้! ความรู้สึกของนางคล้ายกำลังถูกบางอย่างจับจ้องอยู่จนทำให้นางไม่กล้าปล่อยวางประสาทสัมผัสของตัวเอง! คนเช่นนี้แม้แต่ขนเส้นเดียวนางก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวด้วย!
เพราะหนานกงเช่อไม่ใช่คนประเภทเดียวกับหยางอวี้ฉินผู้นั้น ผู้หนึ่งเป็นองค์ชาย อีกผู้หนึ่งเป็นเพียงลูกอนุภรรยา ลูกอนุภรรยานางยังกล้าลงมือ แต่สำหรับองค์ชาย…หากนางอยู่ห่างได้ก็ขออยู่ห่างให้ไกลจะดีกว่า เพราะนางคงรับมือไม่ไหว…
“ระหว่างทางหม่อมฉันพบองค์ชายสามเพคะ จึงกล่าวทักทายกับองค์ชายสามสองสามคำ” ซูเหลียนอวิ้นเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสนใจเอ่ยออกมาตามจริง
เนื่องจากเส้นทางที่ผ่านมาค่อนข้างโลกกว้าง คงจะมีคนไม่น้อยเห็นนางแล้วกระมัง ดังนั้นพูดความจริงออกไป อย่างน้อยๆ ก็ทำให้นางโล่งใจและไม่รู้สึกผิดกับตัวเอง
“หงเอ๋อร์? ” เกาอู่เตี๋ยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “เช่นนี้เองหรือ…เช่นนั้นเขาคงไม่ได้พูดอะไรกับเจ้ากระมัง”
หนานกงหงผู้นี้ เกาอู่เตี๋ยไม่ชอบเขามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ไม่มีเหตุผลใดนอกเหนือจากนี้ มีแต่ความไม่ชอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะหากพิจารณาในมุมมองที่เขาเป็นด็กผู้ชายคนหนึ่ง เกาอู่เตี๋ยรู้สึกว่า เขาเป็นคนหลายใจเกินไปหน่อย! ไม่รู้ว่าวันหนึ่งๆ ในหัวของเขาคิดอะไรอยู่บ้าง อีกอย่างเวลาที่นางเห็นเขายังรู้สึกถึงความอึมครึมราวกับป่ารกชัฏ ทำให้เกิดความรู้สึกสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง!
แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่น เกาอู่เตี๋ยรู้สึกว่า เด็กผู้นี้…ยิ่งโตก็ยิ่งอัปลักษณ์ขึ้น…
ในวัยที่เขายังเป็นเด็กอ้วนอยู่นั้น นางยังรู้สึกว่าน่าเอ็นดูอยู่บ้าง แต่พอโตขึ้นถึงตอนนี้แล้ว เขากลับยิ่งอ้วนมากขึ้นถึงขนาดนี้? ดวงตาของเขาโดนไขมันบนใบหน้าบีบเสียจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ สำหรับเกาอู่เตี๋ย ผู้ที่มองคนที่หน้าตาก่อนเป็นอย่างแรก คนอย่างหนานกงหงไม่สามารถทำให้นางชอบหน้าได้เลย!
“ไม่ได้พูดอะไรเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “ก็แค่…คำทักทายธรรมดาเท่านั้น” อืม…แค่คำทักทายธรรมดา! ส่วนเรื่องที่นางชนเขานั้น น่าขายหน้าเกินไป…ดังนั้นอย่าพูดถึงจะดีกว่า
“อ้อ ฮองเฮาเพคะ ของขวัญที่พระองค์ทรงมอบให้หม่อมฉันในวันงานพิธีปักปิ่นนั้น มีหลายชิ้นที่หม่อมฉันชอบอย่างยิ่ง! ฮองเฮารู้ได้อย่างไรเพคะว่าหม่อมฉันชอบอะไรบ้าง” เมื่อเห็นสายตาสงสัยใคร่รู้ของเกาอู่เตี๋ย ซูเหลียนอวิ้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
อย่ามัวแต่พูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับหนานกงหงนั่นอีกเลย! นางไม่รู้จักกับคนผู้นี้มากนัก! ไม่รู้จักจริงๆ! ตลอดทั้งชีวิตสองชาติของนางล้วนไม่คุ้นเคยกับเขา!
“จริงหรือ อวิ้นเอ๋อร์ชอบถือเป็นเรื่องดียิ่ง” เกาอู่เตี๋ยยิ้ม “กว่าจะรู้ว่าเจ้าสนใจอะไรนั้นไม่ง่าย ของเหล่านั้นที่ข้าเลือกให้เจ้า ข้าเลือกให้เจ้าโดยยึดตามความชอบของอันเพ่ยอิงในตอนนั้น”
“ในเมื่อเจ้าชอบเช่นนี้ คงบอกได้เพียงว่าพวกเจ้าสองคนแม่ลูกสมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน แม้แต่ของที่ชอบก็ยังชอบเหมือนกัน! “
ซูเหลียนอวิ้นยิ้มตามนาง ในใจพลางบ่นว่า ของที่ฮองเฮาทรงประทานให้ล้วนเป็นของที่มีมูลค่าสูงลิ่ว ต่อให้ไม่ใช่ตนแต่สุ่มเอาไปให้ผู้ใดสักคนหนึ่ง คนผู้นั้นก็ไม่มีทางที่จะไม่ชอบแน่!
“จริงสิ ของที่องค์ชายเก้าให้เจ้าคืออะไรหรือ” เกาอู่เตี๋ยหันไปมองหนานกงเช่อที่นั่งอยู่อีกด้านแล้วเอ่ยว่า “วันนั้นองค์ชายมีท่าทางลึกลับยิ่งนัก แม้แต่ข้าก็ยังไม่ยอมบอก สรุปแล้วในกล่องใบนั้นมีอะไรอยู่กันแน่”