ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 144
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 144 ลงมือได้ดียิ่ง
“เอ่อ ของที่องค์ชายเก้ามอบให้” ซูเหลียนอวิ้นปรบมือเล็กน้อยแล้วมองไปยังหนานกงเช่อ รอยยิ้มของนางค่อยๆ ปรากฏขึ้น นางหรี่ตาแล้วเอ่ยว่า “หม่อมฉันรู้สึกว่า…ของที่องค์ชายเก้ามอบให้หม่อมฉัน…”
คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นอย่างอ้อยอิ่งอย่างมีเจตนาจะลากน้ำเสียงให้ช้าลง เนื่องจากเมื่อนางเห็นหนานกงเช่อที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเกาอู่เตี๋ยทำได้เพียงฟึดฟัดแต่ไม่กล้าต่อปากต่อคำ ราวกับกำลังจะลุกขึ้นเพื่อยับยั้งไม่ให้นางพูดต่อ แต่เนื่องเพราะมีเกาอู่เตี๋ยนั่งอยู่ด้านข้างจึงรู้สึกกระดากใจขึ้นมา เขาจึงทำได้เพียงจ้องนางด้วยสายตาเคียดแค้น
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่า ครั้งนี้ที่นางยอมออกมาที่นี่ทั้งๆ ที่เสี่ยงต่อการโดนแดดเผาแล้วได้เห็นภาพๆ นี้ถือว่าการมาในครั้งนี้ของนางไม่เสียเที่ยวแล้ว
“ทำไมหรือ” เกาอู่เตี๋ยเอ่ยถาม “องค์ชายเก้าคงมิได้ส่งของอะไรที่ไม่ได้เรื่องไปให้เจ้าหรอกกระมัง” นางรู้ดีว่านิสัยขององค์ชายเก้าแปลกประหลาดต่างจากคนอื่นมาตลอด เนื่องจากในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันคนไหนสามารถเป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้เลย
ดังนั้นด้วยนิสัยเช่นนี้แล้ว…
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเขาถูกยั่วเย้าจนย่ำแย่เช่นนี้ จึงถือโอกาสเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรเพคะ ของสิ่งนั้นแปลกใหม่มาก หม่อมฉัน…ชอบมากเพคะ” หนานกงเช่อผู้นี้โลกทัศน์แคบยิ่งนัก หากตอนนี้นางกล้าฟ้องเรื่องราวของเขาต่อหน้าเกาอู่เตี๋ยล่ะก็…ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า หากนางจะเข้ามาในวังหลวงครั้งหน้า ต่อให้พกองครักษ์มาห้าคน ก็คงไม่พออยู่ดี!
แม้ว่าหนานกงเช่อจะเป็นเด็กแสบคนหนึ่ง แต่เจ้าเด็กแสบผู้นี้หากจะจัดการใครสักคนขึ้นมาคงจะไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน! เพราะอายุเขายังน้อย ทุกคนมักจะเอ็นดูผู้ที่อ่อนแอ แถมหากเอ่ยถึงความเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะก็?
หนานกงเช่อคงจะถูกจัดลำดับไว้เป็นลำดับแรกๆ อย่างแน่นอน! ภาพเหตุการณ์การเอาชนะคะคานกันระหว่างเขากับต้วนเฉินเซวียนเมื่อชาติก่อนล้วนอยู่ในสายตาของนางทั้งสิ้น
นางจำได้ว่าหนานกงเช่อในสมัยที่ยังอายุน้อยนั้นก็พยายามเริ่มแย่งคะแนนจากต้วนเฉินเซวียนได้บ้างแล้ว เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อย แม้แต่จิ้งจอกเฒ่าอย่างต้วนเฉินเซวียนก็ยังต้องคอยรับมือแผนการกลั่นแกล้งต่างๆ ของหนานกงเช่อ…
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่คาดคิด และสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด
“องค์ชายเก้า หม่อมฉัน…ขอบพระทัยที่พระองค์ทรงมอบของขวัญเหล่านั้นรวมทั้งคำเตือนของพระองค์” รอยยิ้มของซูเหลียนอวิ้นยิ่งหวานหยดย้อยมากขึ้น แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะดูเหมือนว่ากัดฟันพูดอยู่ก็ตาม
“มิต้องเกรงใจ” หนานกงเช่อแยกเขี้ยวยิ้ม ท่าทางของเขาคล้ายเป็นเด็กใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ “นี่เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ หากสามารถช่วยเหลือและชี้แนะเจ้าได้บ้าง ก็ถือว่าข้ามิได้เสียแรงเปล่า”
เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นพวกเขาทั้งสองโต้ตอบกันคนละประโยคสองประโยค และสนทนากันอย่างกินกันไม่ลง นางก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
‘หรือว่านางคิดมากไปเอง’
“อวิ้นเอ๋อร์” เกาอู่เตี๋ยจับมือของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ “องค์ชายเก้าคงมิได้ส่งของจำพวกหนอนหรือคางคกให้เจ้าหรอกกระมัง อวิ้นเอ๋อร์อย่ากลัวไปเลย ข้าอยู่ตรงนี้ องค์ชายเก้ามอบอะไรให้เจ้ากันแน่ เจ้าพูดความจริงออกมาเถิด”
หนอน? คางคก! หรือ ซูเหลียนอวิ้นคิด
อ้อจริงสิ! เมื่อชาติที่แล้วหนานกงเช่อมีประวัติว่าเขาสะสมของพวกนี้! อีกอย่างพอมาถึงช่วงหลังๆ นี้ ของที่เขาสะสมไว้ ยังเป็นของจำพวกที่มีพิษอีกต่างหาก! ยิ่งมีพิษก็ยิ่ง…
เหอะๆ …นางต้องขอบคุณหนานกงเช่อใช่หรือไม่ที่ไม่ได้ส่งของเหล่านั้นมาให้นาง
“เสด็จแม่! ลูกเปล่านะ! ” เมื่อหนานกงเช่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบโผเข้าสู่อกของเกาอู่เตี๋ยแล้วเงยหน้า ดวงตาทั้งสองข้างของเขาสะท้อนประกายวิบวับราวเกล็ดปลาที่ต้องแสง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “เสด็จแม่ ลูกจะมอบของเช่นนั้นให้คุณหนูซูได้อย่างไร ท่านแม่เคยบอกแล้วว่าเด็กผู้หญิงไม่ชอบของแบบนั้น ลูกจะไม่ฟังคำสอนของท่านแม่ได้อย่างไร”
“ของที่ลูกมอบให้คุณหนูซูคือตำราชุดหนึ่ง ใช่หรือไม่คุณหนูซู” หนานกงเช่อเอียงศีรษะแล้วยิ้มให้ซูเหลียนอวิ้นด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกับที่นางยิ้มให้ตนเมื่อครู่
ซูเหลียนอวิ้นฝืนพยักหน้า “เพคะ…” นางคิดว่าตอนนี้นางรีบหุบปากเสียจะดีกว่า อย่าพูดอะไรจะดีที่สุด! หนอน…คิดถึงตรงนี้นางก็รู้สึกได้ถึงความน่าขนลุกขนพอง
ไม่ได้การแล้ว หากนางกลับไปนางจะต้องนำกล่องใบนั้นไปเก็บไว้ไกลๆ หน่อย! หากภายในมีไข่ของตัวอะไรแอบอยู่จะทำอย่างไร
เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นว่าทั้งสองคนแสดงอาการไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน โดยคล้ายว่าไม่มีเรื่องอะไรปิดบังอีก เวลานั้นนางจึงยิ้มออกมาอย่างพอใจและชวนสนทนาปราศรัยอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะปล่อยให้ซูเหลียนอวิ้นกลับไป
“เสด็จแม่ ลูกขอไปส่งคุณหนูซูนะขอรับ” หนานกงเช่อลงจากเก้าอี้แล้วยิ้มให้จนตาแทบปิด
“ไปเถิด” เกาอู่เตี๋ยพยักหน้า “กางร่มไปด้วยก็แล้วกัน ด้านนอกอากาศร้อนมาก”
ซูเหลียนอวิ้นโบกมือ “ไม่ต้องหรอกเพคะ…หม่อมฉันกลับเองก็ได้…” น้ำใจเล็กน้อยนี้ยิ่งใหญ่เกินไปนัก รับไม่ไหว รับไม่ไหว…
“คุณหนูซู คงมิได้มิชอบข้าหรอกกระมัง” หนานกงเช่อหันตัวมองไปยังซูเหลียนอวิ้นแล้วยิ้มอย่างไม่เห็นฟัน “ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจอยากไปส่งเจ้าก็เท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด”
…อย่าทำเช่นนี้สิ ยิ่งทำเช่นนี้ก็ยิ่งดูออกว่าเจ้าไม่ได้มีจิตบริสุทธิ์! เมื่อชาติก่อนตอนที่เจ้าคิดอยากจะจัดการต้วนเฉินเซวียนทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง! ทำท่าราวกับหวังดีกับนาง แต่เหตุใดเจ้าไม่รับความหวังดีจากข้าเล่า? แถมยังมาบังคับกันอีก
ช่างเถิด ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ หากจะหนีก็คงมิอาจหนีไปได้ตลอดชีวิต มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดออกมาให้จบๆ ก็ดี ทุกครั้งที่นางเข้าวังมาจะได้ไม่ต้องคอยมาระวังเรื่องๆ นี้
“เช่นนั้น รบกวนองค์ชายเก้าแล้ว”
“รบกวนอะไรกัน คุณหนูซูมีอารมณ์ขันแล้ว” รอยยิ้มของหนานกงเช่อคล้ายรอยยิ้มของลูกเสือ
เมื่อกางร่มออกแล้วจึงไม่มีแสงอาทิตย์แผดเผาส่งตรงลงมา นั่นจึงทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาก
ซูเหลียนอวิ้นนับฝีเท้าก้าวไปพลางๆ ตอนนี้เดินมาได้สามร้อยก้าวแล้ว หรือว่านางคิดมากไปเอง บางทีหนานกงเช่ออาจจะมีน้ำใจอยากมาส่งนางเท่านั้น?
“ซูเหลียนอวิ้น” คำพูดในใจเพิ่งจะเงียบลง เสียงของหนานกงเช่อก็ดังขึ้นต่อจากนั้นทันที
ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้จะทำอย่างไรจึงก้มหน้าลงไปเอ่ยว่า “องค์ชายเก้า หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ”
มีอะไรก็รีบพูดออกมาเถิด
“ได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ต้วนเฉินเซวียนได้รับบาดเจ็บรึ” หนานกงเช่อเงยหน้าขึ้นมา เสียงของเขาไม่ดังนักแต่ก็เพียงพอที่คนทั้งสองคนจะได้ยินกันอย่างชัดเจน
“ท่านได้ยินมาจากผู้ใด” ซูเหลียนอวิ้นชะงักฝีเท้า มือของนางกำด้ามร่มเอาไว้แน่น “อีกอย่าง…เหตุใดต้องถามเรื่องนี้กับหม่อมฉันด้วยเพคะ”
หรือว่าเรื่องที่นางให้คนทำร้ายต้วนเฉินเซวียนเรื่องนี้ คนรู้ทั่วกันหมดแล้ว?! ไม่นะ! ข้อหาทำร้ายร่างกายคุณชาย…นาง นางรับชื่อเสียงในเรื่องนี้ไม่ไหว!
“ดูเจ้าตกใจเข้าสิ” หนานกงเช่อมองไปยังซูเหลียนอวิ้นด้วยอารมณ์ขัน “คงยังไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้หรอก”
“อ้อ” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้า นางกลับไปเดินต่อเช่นเดิม ในใจแอบคิดว่า ไม่มีผู้ใดรู้ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร? หรือว่าเจ้าแอบส่งคนไปจับตาดูต้วนเฉินเซวียนเอาไว้?
เด็กคนนี้น่ากลัวยิ่งนัก…
“ทุกๆ เดือน ต้วนเฉินเซวียนจะต้องมาหาเสด็จแม่ที่นี่” หนานกงเช่อเอ่ยปากเรียบๆ “แต่เดือนนี้กลับไม่มา แถมยังมิได้ส่งคนมาแจ้งด้วย ตัวข้าย่อมสงสัย ดังนั้นข้าจึงส่งคนไปสอดส่องที่จวนของเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผลสุดท้ายข้าจึงพบว่าเกิดเรื่องน่าสนใจเรื่องนี้ขึ้น
ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยขึ้นพร้อมเหงื่อเย็นๆ “แล้วอย่างไรต่อ?”
“ดังนั้น ข้าคิดว่าเจ้าทำได้ดีมาก” หนานกงเช่อเอ่ย “ลงมือได้ดียิ่ง!”