ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 148
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 148 ไม่ใช่คนดี
ซูเหลียนอวิ้นกุมหน้าอกเอาไว้แล้วหายใจหอบอยู่เป็นนานกว่าจะยับยั้งคลื่นเ**ยนนั้นลงได้
เนื่องจากคนเป็นๆ ได้ตายไปต่อหน้าต่อตาตนเช่นนี้ ไม่ว่าก่อนสิ้นใจเขาจะก่อเรื่องราวอะไรไว้บ้าง แต่ความรู้สึกถึงคลื่นเ**ยนนี้ไม่แบ่งแยกว่า คนๆ นั้นจะเป็นคนดีหรือเลว เพราะหลังจากที่เห็นเพียงคราเดียวก็จะรู้สึกไม่อยากเหลียวมองอีกเป็นครั้งที่สอง
ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลายและพยายามออกห่างจากคนผู้นั้นให้ไกลมากยิ่งขึ้น
ทว่านางคงลืมไปแล้วว่าตอนนี้ที่ที่นางยืนอยู่คือด้านบนหลังคา หากถอยหลังไปอีกก้าวหนึ่งก็จะตกลงสู่ด้านล่างทันที
“อ๊ากกกกก!” ซูเหลียนอวิ้นถอยหลังไปเพียงครึ่งก้าว ทว่าแผ่นกระเบื้องที่อยู่ตรงขอบไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อซูเหลียนอวิ้นเหยียบลงไปบนนั้น กระเบื้องแผ่นนั้นจึงแตกออก จากนั้นร่างของนางจึงตกลงไปสู่ความว่างเปล่าด้านล่าง
“คุณหนูใหญ่!”
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นผูหลิวกับหยาเอ่อร์ยังกำลังต่อสู้อยู่ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กะทันหันเช่นนี้พวกนางจึงทำได้เพียงเฝ้ามองดูซูเหลียนอวิ้นตกลงไปสู่เบื้องล่างโดยที่ไม่สามารถปลีกตัวออกไปช่วยได้อีกด้วย
“วันอันแสนโกลาหลอย่างนี้ แม่นางตัวเล็กๆ ไม่ควรออกจากเรือนโดยไม่ระวังเนื้อระวังตัวเช่นนี้” ขณะที่ซูเหลียนอวิ้นหลับตาลงและคิดว่าตัวเองจะพิการจากการร่วงลงสู่เบื้องล่างอยู่นั้นกลับมีอ้อมกอดอันอบอุ่นรับนางไว้กลางอากาศ
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกได้ว่าเสียงลมที่ดังอยู่ข้างหูนางค่อยๆ หายไปจึงหรี่ตามองบุรุษที่อุ้มนางเอาไว้ ตอนนั้นนางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป เนื่องจาก…คนผู้นี้คือใครกัน? ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้จักคนผู้นี้เลยด้วยซ้ำ?
ชายผู้นั้นวางซูเหลียนอวิ้นลงที่มุมๆ หนึ่งอย่างเบามือ แล้วมองนางด้วยแววตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
“เอ่อ ขอบพระคุณคุณชายเจ้าค่ะ…ข้าน้อยซาบซึ้งในน้ำใจของท่านยิ่ง…” ซูเหลียนอวิ้นถอนสายบัวให้ แล้วเอ่ยขอบคุณอย่างตะกุกตะกักต่อหน้าชายผู้นั้น เพราะไม่ว่าจะอย่างไรคนผู้นี้ก็ช่วยนางเอาไว้! เมื่อถึงเวลาควรจะขอบคุณก็ควรขอบคุณ
“ฮ่าๆ…” ชายผู้นั้นหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “มิต้องขอบคุณข้าหรอก โฉมงามอย่างคุณหนูประสบภัย หากบุรุษเห็นความตายรออยู่ตรงหน้าแต่ไม่ช่วย นั่นคงจะมิใช่อุปนิสัยที่ดีอย่างแน่นอน”
ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นถูกวางลง นางยืนอยู่ภายใต้แสงสลัวๆ ด้วยเหตุนี้จิตใจของซูเหลียนอวิ้นจึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ และเมื่อมองหน้าของชายผู้นี้อีกครั้งนางจึงพบว่า บุรุษผู้นี้…คล้ายมิใช่คนต้าชั่วกระมัง
ดวงตาคู่สีฟ้า เครื่องหน้าทั้งหมดเด่นชัดเป็นสง่า แม้ว่าจะดูหล่อเหลาเหนือธรรมดา ทว่าเมื่อดูจากท่าทางก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่นี่
“งั้นหรือ…” มือทั้งสองข้างของซูเหลียนอวิ้นกำเสื้อด้านบนของตัวเองเอาไว้แน่น “แต่อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณคุณชายที่ให้ความช่วยเหลือ…” สุดท้ายนางก็ถูกคนจับได้ว่าเป็นหญิงแต่งชายหรือ! ที่แท้ฝีมือการปลอมตัวเป็นผู้ชายของนางอ่อนหัดขนาดนี้เชียว…นางเข้าใจมาตลอดเลยว่าการปลอมตัวเป็นชายของนางนั้นยอดเยี่ยมหาใดเปรียบ!
เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นมีทีท่าระมัดระวังเช่นนั้น จึงนึกอยากหยอกเล่นจึงเอ่ยออกไปว่า “ขอบคุณหรือ ว่าแต่เจ้าจะขอบคุณข้าอย่างไรดี”
ซูเหลียนอวิ้นจึงตอบกลับว่า “เรื่องนี้…”
เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงแตกต่างจากในนิยายมากนัก ปกติแล้วนักท่องยุทธภพที่ช่วยเหลือคน มักจะเอ่ยว่าไม่ต้องขอบคุณข้าจากนั้นก็จะหันหลังจากไปอย่างสบายอารมณ์แล้วเดินหายไปอย่างไร้ร่องรอยมิใช่หรือ
แต่เนื่องด้วยตอนนี้นางปลอมตัวเป็นชาย ดังนั้นทั้งเนื้อทั้งตัวนางจึงไม่ได้พกเงินมาเลย ทั้งเครื่องประดับต่างๆ ก็ไม่ได้ใส่มาด้วยเช่นกัน!
ชายผู้นี้ไม่ทันได้สังเกตถึงความยากจนของซูเหลียนอวิ้นจึงพูดต่อโดยไม่ได้สนใจนาง “ได้ยินมาว่าคนต้าชั่วอย่างพวกเจ้ามีวิธีการตอบแทนสำหรับยอดบุรุษช่วยโฉมงามโดยการมอบกายตอบแทนมิใช่หรือ”
นัยน์ตาสีฟ้าเข้มของบุรุษผู้นี้มีประกายเคลื่อนผ่านแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้น คุณหนูผู้เลอโฉมอย่างเจ้า หากต้องการจะขอบคุณข้าจริงๆ มิสู้เจ้ามอบกายให้ข้ามิดีกว่าหรือ”
“ดูเหมือนว่าองค์ชายเยียลี่ว์จะได้ยินมาผิดแล้ว”
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นคิดจะตอบโต้การหาเรื่องของชายผู้นี้กลับไปอยู่นั้น เงาของคนผู้หนึ่งก็กระโดดลงมาอย่างทันทีทันใด
“วิธีการตอบแทนของพวกเราชาวต้าชั่วสำหรับเรื่องประเภทนี้ก็คือ ชาตินี้มิอาจตอบแทนได้ก็คงต้องไปชดใช้กันในชาติหน้าเท่านั้น” ต้วนเฉินเซวียนเข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าของซูเหลียนอวิ้นพร้อมเอ่ยอย่างเย็นชา
“คุณชายต้วน? ช่างมีพรหมลิขิตต่อกันยิ่งนัก…” ชายผู้นั้นตกตะลึงกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของต้วนเฉินเซวียนไปชั่วขณะ ทว่าเพียงชั่วครู่เดียวรอยยิ้มของเขาก็กลับคืนมาสมบูรณ์แบบดังเดิม “เช่นนี้เองหรือ แต่วิธีการตอบแทนเช่นนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยได้ยิน”
ต้วนเฉินเซวียนแค่นหัวเราะ “เนื่องจากองค์ชายเยียลี่ว์มิใช่คนต้าชั่ว ดังนั้นหากไม่ค่อยเข้าใจถึงกฎระเบียบของชาวต้าชั่วก็เป็นเรื่องที่ข้าพอเข้าใจได้ ทว่าวิธีการมอบกายให้เช่นนี้ สำหรับชาวต้าชั่วแล้ว ถือว่าไม่ค่อยให้เกียรติสตรีเท่าไหร่นัก ดังนั้นต่อไปจึงหวังว่าเวลาที่องค์ชายเยียลี่ว์จะกล่าวอะไรก็ควรจะไตร่ตรองให้มากหน่อย”
เยียลี่ว์เยี่ยนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าผิดไปแล้ว หวังว่าคุณหนูจะไม่ถือโทษ” เยียลี่ว์เยี่ยนหันตัวไปพูดกับซูเหลียนอวิ้นพร้อมเอ่ยต่อไปว่า “การเดินทางของข้าคืนนี้ถือว่าไม่เสียเที่ยวกระมัง” เมื่อเอ่ยจบก็หันไปเล่นหูเล่นตากับซูเหลียนอวิ้น จากนั้นจึงใช้วิชาตัวเบาและหายไปต่อหน้าต่อตาซูเหลียนอวิ้น
ซูเหลียนอวิ้น…” ต้วนเฉินเซวียนหันตัวมาช้าๆ ดวงตาดำสนิทของเขามองไปที่ซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ดูไม่ออกเลยว่า เจ้าจะมีความสามารถในด้านนี้ด้วย ถึงขนาดจะสานสัมพันธ์กับเยียลี่ว์เยี่ยน?
“แต่เจ้าอย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะซูเหลียนอวิ้น! เยียลี่ว์เยี่ยนผู้นั้นมิใช่คนดีอะไร คุณหนูอย่างเจ้ามิค่อยพบเจอผู้คน อย่าได้ถูกเครื่องหน้าอันน่าหลงไหลของเขาทำให้เลอะเลือน ถึงตอนนั้นหากเจ้าโดนเขาหลอกเอาไปขายให้แก่ผู้อื่น เจ้าคงต้องช่วยเขานับเงินเสียด้วยซ้ำไป…”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงแปลกประหลาดของต้วนเฉินเซวียน ทั้งยังเอ่ยคำพูดทิ่มแทงนางรวมทั้งต่อว่าเยียลี่ว์เยี่ยนว่าไม่ใช่คนดีอะไร ทำให้ความคิดต่อต้านของซูเหลียนอวิ้นปะทุขึ้นมาทันที
เนื่องจากท่าทางของนางตอนนี้ รวมทั้งการแต่งตัวของนางที่ค่อนข้างจะน่าอาย อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นจึงไม่ค่อยสู้ดีมาแต่แรกอยู่แล้ว
‘อารมณ์ไม่ดีแล้วจะเกิดอะไรต่อไป?’
นั่นทำให้ความหวาดกลัวต่างๆ ของซูเหลียนอวิ้น รวมทั้งความเกลียดและเข็ดขยาดในตัวต้วนเฉินเซวียนถูกลืมไปจนหมดสิ้น ในหัวของนางตอนนี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางเพียงรู้สึกโมโหต้วนเฉินเซวียนเท่านั้น
“มันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย! ท่านมายุ่งอะไรกับข้า!” ซูเหลียนอวิ้นจ้องเขม็งไปยังต้วนเฉินเซวียน “ถูกเอาตัวไปขาย นั่นก็เป็นเรื่องของข้า เกี่ยวอะไรกับท่าน?”
ต้วนเฉินเซวียนได้ยินดังนั้นจึงหยุดพูดไปแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “เกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าถามว่าเกี่ยวอะไรกับข้าหรือ?”
เนื่องจากตัวเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ห้อมล้อมไปด้วยคนจอมประจบสอพลอ เขาเคยได้รับการเหยียดหยามเช่นนี้ที่ไหนกัน? แถมนี่ยังเป็นการเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่าจากคนๆ เดียวกัน แม้ว่าเมื่อชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นจะ…ทว่าต้วนเฉินเซวียนก็รู้สึกว่ายากจะอดทนต่อเรื่องนี้ได้
ขณะที่ต้วนเฉินเซวียนวางแผนว่าจะสั่งสอนซูเหลียนอวิ้นให้หลาบจำอย่างไร รวมถึงตักเตือนนางว่าเยียลี่ว์เยี่ยนไม่ใช่คนดีอะไรอยู่นั้น บนร่างของซูเหลียนอวิ้นกลับปรากฏรอยเลือดสีแดงขึ้น ทำให้เขาจำต้องหยุดคำพูดที่เขาเตรียมจะเอ่ยต่อไป