ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 150
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 150 รักแรกพบ
“ท่านแม่” ซูเหลียนอวิ้นค้อมตัวให้อันเพ่ยอิงเพื่อทำความเคารพ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของอันเพ่ยอิงในตอนนี้แล้ว นางอดไม่ได้ที่จะพูดโพล่งออกไปว่า “ท่านแม่เจ้าคะ เมื่อคืนวานท่านหลับไม่เต็มอิ่มใช่หรือไม่? เหตุใดสีหน้าจึงย่ำแย่เช่นนี้? ใต้ตาของท่านแม่…คล้ำหมดแล้วนะเจ้าคะ”
“มิเป็นไร…” อันเพ่ยอิงนวดที่ขมับของตัวเอง น้ำเสียงของนางห่อเ**่ยว “จนถึงตอนนี้ท่านพ่อของเจ้ายังมิกลับมาเลย…แม่เริ่มรู้สึกว่า สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก”
“อย่างนี้เอง…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ท่านพ่อจะต้องไม่เป็นอะไร ท่านพ่อมีวรยุทธ์สูงขนาดนั้น จะเกิดเรื่องได้อย่างไรเจ้าคะ? ” อืมนั่นเป็นเพราะจะอย่างไรก็ถือได้ว่านางเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่คนหนึ่ง! ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่านางมีสิทธิ์ที่จะกล่าวเช่นนี้ได้!
ผลของการต่อสู้เมื่อคืนนี้คือ คนตระกูลหยางโดนกำจัดราบคาบ บ้างถูกเนรเทศ บ้างถูกขาย ไม่หลงเหลือร่องรอยใดที่บ่งบอกว่าจะฮึดต่อสู้ขึ้นมาอีกได้ดังคำพูดที่ว่าหญ้าจะถูกไฟเผาจนราบคาบแค่ไหน ทว่าหากมีลมวสันต์พัดมาก็จะกลับมาเขียวขจีดังเดิมได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอันผิงอ๋องนั้น ลี่หยวนตี้มิเคยลืม ดังนั้นคนตระกูลหยางอย่าได้หวังเลยว่าจะมีประกายความหวังหรือโอกาสความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะสามารถจุดติดขึ้นมาใหม่ได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามเนื่องจากบทเรียนในอดีตมิอาจลืมลี่หยวนตี้ต้องกำจัดอย่างถอนรากถอนโคนถึงจะวางใจ!
และด้วยเหตุนี้เอง ซูปั๋วชวนบิดาของนางจึงได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นอีกหนึ่งขั้นและแน่นอนว่าเขาต้องกลับมาโดยสวัสดิภาพ
“มีความหวังเช่นนี้ก็ดี…” ริมฝีปากของอันเพ่ยอิงโค้งเป็นรอยยิ้ม “อ้อจริงสิ อวิ้นเอ๋อร์ช่วงนี้เจ้าได้จองชุดไว้บ้างหรือไม่? “
“เหมือนว่าจะไม่นะเจ้าคะ…” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า เพราะช่วงนี้ไม่มีงานอะไรที่นางต้องออกไปนอกบ้านดังนั้นจึงไม่ต้องตัดชุดอะไรใหม่ อีกอย่างชุดที่นางมีอยู่ โดยมากแล้วก็เคยใส่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นหรือบางชุดก็ไม่เคยใส่เลยและถูกโยนทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้า
เนื่องจากตอนนั้นนางเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมากะทันหันว่าอยากสวมใส่เพียงเสื้อผ้าสีอ่อนเท่านั้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเสื้อผ้าของนางที่เป็นสีเข้มฉูดฉาดจึงถูกโยนทิ้งไว้ในซอกลืบหรือไม่ก็ถูกซุกเอาไว้
ดังนั้นเวลานี้….ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่าเสื้อผ้าของนางมีอยู่ไม่น้อยทีเดียว!
“เดี๋ยววันพรุ่งต้องเรียกร้านตัดชุดมาตัดชุดให้อวิ้นเอ๋อร์สักสองชุดแล้วกระมัง หากมัวช้าอยู่ แม่กลัวว่าร้านตัดชุดจะไม่ยอมรับงาน”
“มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“เมื่อสองสามวันก่อนแม่ยังมิได้บอกเจ้าหรือ? ” อันเพ่ยอิงเปลี่ยนท่าทางของตนไป เช่นนั้นคงเป็นเพราะนางอายุมากแล้วจึงลืมเรื่องนี้ไปสนิท “เร็วๆ นี้ ในวังหลวงจะมีงานเลี้ยง”
“กำลังจะมีงานเลี้ยง? ” ซูเหลียนอวิ้นแปลกใจเนื่องจาก…เหตุการณ์ก่อกบฏเพิ่งจะจบลงไปเอง? จะจัดงานเลี้ยงเร็วขนาดนี้เชียวหรือการกระทำเช่นนี้ของลี้หยวนตี้ออกจะ…
“ใช่ เพราะเร็วๆ นี้ต้องต้อนรับแขกที่มาจากเมืองเยียลี่ว์” อันเพ่ยอิงจิบน้ำชาแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “คนจากเมืองเยียลี่ว์คงจะมาถึงประมาณปลายเดือนนี้เป็นอย่างช้า แขกมาถึงที่แล้วดังนั้นไม่ว่าที่เมืองของเราจะเกิดเรื่องอะไรอยู่ มารยาทที่ควรมีก็มิควรบกพร่อง”
“มิเช่นนั้นจะเป็นเหตุให้พวกเขาดูถูกชาวต้าชั่วอย่างพวกเราเอาได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นคงจะไม่ดีแน่อีกอย่างแขกจากเมืองเยียลี่ว์ใช้โอกาสนี้มาโดยบอกว่าจะมาเยี่ยมพวกเรา ไม่แน่เขาอาจจะมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ดังนั้นไม่ว่าคนอื่นจะว่าตัวพวกเขาเองอย่างไร แต่ก็ห้ามมิให้พวกเขามาดูถูกพวกเราก่อนอย่างเด็ดขาด”
“เมืองเยียลี่ว์…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยคำสามคำนี้ซ้ำไปซ้ำมา เยียลี่ว์? จากที่ต้วนเฉินเซวียนพูดเมื่อวานแล้ว บุรุษที่ช่วยนางไว้เมื่อคืนวานผู้นั้นก็แซ่เยียลี่ว์เช่นกัน?
คงจะไม่…?
ดูท่าแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญกระมังคนผู้นั้นคงวางแผนไว้ว่าจะนั่งอยู่บนเขาเฝ้าดูเสือกัดกัน[1]ดังนั้นจึงยื่นมือมาช่วยนางโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น?
หรือไม่บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าได้ยินคนตระกูลหยางที่คลุ้มคลั่งกลุ่มนั้นเปิดเผยฐานะของนางก็เลย…?
ซูเหลียนอวิ้นเกาหัวตัวเอง เรื่องราวเช่นนี้…นางมิอาจมัวแต่ครุ่นคิดซ้ำไปมาได้! เพราะหากมัวแต่ครุ่นคิด นางคิดว่าตัวเองจะต้องเวียนหัวตายอย่างแน่นอน
ทหารมาใช้ขุนพลต้าน หากน้ำมาก็ใช้ดินรับ[2]ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่ขุนนางใหญ่ของแผ่นดิน ดังนั้น…ก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับนางกระมัง?
……
“ท่านพี่ เมื่อวานไปไหนมาเจ้าคะ? “ดรุณีน้อยร่างอรชรนางหนึ่งยกชายกระโปรงของตัวเองขึ้นพลางก้าวเท้าวิ่ง เพียงครู่เดียวก็โผเข้าสู่อ้อมอกของเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านพี่เจ้าคะ ได้ยินว่าเมื่อคืนที่นี่มีงานเทศกาลโคมไฟหรือเหตุใดท่านไม่พาข้าไปด้วยเล่า”
“เยียนเอ๋อร์” เยียลี่ว์เยี่ยนประคองดรุณีน้อยที่อยู่ในอกของเขาขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนวานที่นี่อันตรายมาก พี่จะพาเจ้าไปสถานที่วุ่นวายขนาดนั้นได้อย่างไรเพราะพี่มิอาจปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา”
เยียลี่ว์เยียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เช่นนั้นเมื่อไหร่พวกเราจะออกไปเที่ยวเล่นได้อย่างเปิดเผยเสียทีมัวแต่นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมเช่นนี้ องค์หญิงอย่างข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว! “
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้ามิใช่บอกเองหรือว่าด้านนอกอากาศร้อนเสียจนเจ้าอยากอยู่แต่ในห้องนี้ เหตุใดวันนี้ถึงอยากออกไปข้างนอกอีกอากาศด้านนอกตอนนี้ มิได้เย็นกว่าเมื่อวันก่อนๆ เลย” เยียลี่ว์เยี่ยนพิจารณาน้องสาวของเขาเนื่องจากการเดินทางมาในครั้งนี้ บทบาทของเยียลี่ว์เยียนนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่สนใจว่าระหว่างทางหรือว่าที่เมืองเยียลี่ว์เยียลี่ว์เยียนจะก่อเรื่องยุ่งยากไว้ขนาดไหนแต่เมื่อถึงที่ต้าชั่วแล้วหากเยียลี่ว์เยียนยังก่อเรื่องบ้าบิ่นอย่างเช่นที่เมืองเยียลี่ว์อีกล่ะก็ถ้าเขาจับนางขังไว้ในนี้ก็อย่าหาว่าพี่ชายอย่างเขาไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์พี่น้องก็แล้วกัน
เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสำคัญ สิ่งที่ถูกเรียกว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคงเป็นได้เพียงตัวช่วยเท่านั้น มิอาจให้ความสำคัญได้มากนัก
“ท่านพี่…” เยียลี่ว์เยียนถอยไปด้านหลังอย่างระมัดระวังสองสามก้าว เพราะความรู้สึกของนางต่อพี่ชายของตัวเอง แม้ว่าทั้งสองจะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ทว่าในใจของเยียลี่ว์เยียนกลับรู้สึกหวาดกลัวและเคารพเยียลี่ว์เยี่ยนมากกว่าความรู้สึกอื่นใด
“เป็นอะไรหรือ น้องหญิง” เยียลี่ว์เยี่ยนเดินไปยังเก้าอี้ด้านข้างเพื่อรินชาให้ตัวเองแล้วจิบไปหนึ่งอึก เขาไม่เร่งรัดให้เยียลี่ว์เยียนพูดต่อเขาเพียงพึมพำกับตัวเองว่า “อื้ม นี่คือชาของเมืองต้าชั่วหรือพอชิมแล้วถึงได้รู้ว่าแตกต่างจากเครื่องดื่มที่เมืองของพวกเรา”
“ท่านพี่…” เยียลี่ว์เยียนเอามือทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ นางก้มหน้าแล้วพึมพำว่า “ท่านพี่…น้องรู้สึกว่าน้องชอบคนผู้หนึ่งเข้าให้แล้ว”
“เอ๊ะ ผู้ใดรึ? ” เยียลี่ว์เยี่ยนวางถ้วยชาในมือลงแล้วหันตัวไปทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มให้เยียลี่ว์เยียน “เล่ามาให้พี่ฟังสิว่าผู้ใดกัน ที่เมืองเยียลี่ว์มีผู้ชายดีๆ ตั้งมากมายน้องกลับไม่มอง ตอนนี้…เพิ่งมาถึงต้าชั่วเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองน้องหญิงกลับบอกว่ามีคนที่ตัวเองชอบเสียแล้ว” น้ำเสียงของเยียลี่ว์เยี่ยนอ่อนโยนราวกับว่าเขาเป็นพี่ชายแสนอ่อนโยนที่สนใจใคร่รู้ว่าน้องสาวของตนชอบใครขึ้นมาจริงๆ
ทว่ารอยยิ้มและแววตาที่เล็กหรี่ของเขาในตอนนี้ สะท้อนประกายบางๆ ออกมาโดยบังเอิญ จึงทำให้รู้ถึงอารมณ์ที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ว่าไม่ได้ยินดีเหมือนอย่างที่เขาแสดงออกมาให้เห็นภายนอก
เยียลี่ว์เยียนก้มหน้ามองพื้น ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ “ท่านพี่ อันที่จริงแล้วน้องเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าคนผู้นั้นคือใคร…แต่ดูเหมือนว่าคนแถวนี้จะเรียกเขาว่าคุณชายต้วน? “
นางเติบโตมาถึงตอนนี้ แต่กลับเพิ่งจะพบเจอบุรุษที่สง่าผ่าเผยเช่นนี้เป็นครั้งแรก รอยยิ้มของคนผู้นั้นส่องประกายเสียดแทงตาของนางมากกว่าแสงอาทิตย์จากฟากฟ้าเสียด้วยซ้ำ เพียงนางมองแวบเดียวหัวใจของนางก็ถูกยึดครองไปเสียแล้ว
——
[1] นั่งอยู่บนเขาเฝ้าดูเสือกัดกันหมายถึงนั่งมองสองฝ่ายทะเลาะกัน จนกระทั่งมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้ก็จะคอยรอตักตวงผลประโยชน์
[2] ทหารมาใช้ขุนพลต้าน หากน้ำมาก็ใช้ดินรับหมายความว่า ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็สามารถรับมือได้