ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 152
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 152 ข่าวลือ
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองเปลี่ยนแปลงรุนแรง นางคงเป็นลมแดดด้วยกระมัง นาง นางฝันไปใช่หรือไม่!
“คุณหนูซู ข้าวัดตัวของคุณหนูเรียบร้อยแล้ว! ข้าขอตัวกลับแล้วนะเจ้าคะ!” ช่างตัดชุดผู้นั้นไม่กล้าอยู่ที่นี่นานมากนักจึงเตรียมตัวที่จะก้าวเท้าออกไป เพราะนางเห็นอาการของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ที่คล้ายจะเป็นลมไปได้ทุกเมื่อ! หากจะเป็นลมไปก็คงไม่เป็นไร แต่อย่าได้ทำให้นางต้องเดือดร้อนด้วยเลย!
เฮ้อ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ช่างตัดชุดผู้นี้ก็แอบถอนใจ คุณหนูซูคงตื่นเต้นมากกระมังเนื่องจากเรื่องราวเช่นนี้…การตามจีบคนผู้หนึ่งจนติด ซึ่งคนผู้นั้นก็คือคนที่จีบยากเป็นที่สุดอย่างต้วนเฉินเซวียนหากจะตื่นเต้นบ้าง…นางเองก็เคยเป็นสาวมาก่อน นางเข้าใจ และเข้าใจดี!
จึงกล่าวได้ว่า เรื่องราวใดก็ตามหากกล้าลงมือทำก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ! เมื่อหันมาดูในเมืองหลวงตอนนี้มีสตรีมากมายที่เพิ่งจะรู้สึกตัวและเริ่มวางแผนที่จะสารภาพรักของตัวเองด้วยความเขินอายและหวังว่าคนที่ตนชอบจะเปลี่ยนใจบ้าง?
ทว่าสารภาพตอนนี้แล้วจะได้อะไร สายไปแล้วหรือไม่!
ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงบนเก้าอี้ดัง ‘ตึ้ง’ สายตาของนางจ้องมองไปด้านหน้าด้วยความว่างเปล่า นางเหม่อลอยอยู่เงียบๆ
ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไรกันนะ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตอนนี้นางเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน…เนื่องจากความรู้สึกโกรธ ดีใจ เศร้าใจ เป็นทุกข์คล้ายว่าจะผสมปนเปอยู่ด้วยกันครบรส นางจึงไม่รู้จะแสดงอารมณ์ออกไปอย่างไร
ดีใจหรือแน่นอนว่านางดีใจ เพราะในใจของนางตอนนี้นั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลือต่อต้วนเฉินเซวียนเลย เรื่องนี้ขนาดตัวนางเองยังไม่อยากจะเชื่อเพราะนางได้นำความรู้สึกของนางทั้งหมดฝังลึกไว้ในสถานที่ที่ไม่มีผู้ใดพบเจอ และอนุญาตเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่จะแอบหยิบมันออกมาแล้วทอดถอนใจยามค่ำคืนเพื่อระลึกความหลังของตัวเองเมื่อชาติที่แล้ว
แต่ความรู้สึกเศร้าใจเล่า
ความเศร้าใจ…นางยังคงแสดงออกว่าตัวเองมีความรู้สึกนี้ แถมยังเป็นความรู้สึกเศร้าใจที่เป็นทุกข์เสียด้วย! เพราะเมื่อชาติที่แล้วนางทุ่มเทตั้งมากมาย ผลสุดท้ายนางได้รับอะไรบ้างสิ่งที่นางได้รับมีเพียงคำต่อว่าต่างๆ นานาของต้วนเฉินเซวียนที่ไม่เคยมีทีท่าว่าชอบขี้หน้านางเลยด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้นางไม่เพียงไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยเท่านั้น แต่ยังคอยหลบหน้าเขาอีก ทั้งยังเคยทำร้ายร่างกายเขาด้วย? ผลสุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้? นี่จะเรียกว่าโชคชะตาเล่นตลกหรือจะเรียกว่าฟ้าลิขิตมาเช่นนี้ดี เทวดาคงมิได้กำลังปั่นหัวนางเล่นอยู่กระมัง
“คุณหนูใหญ่ ถึงเวลาทานข้าวกลางวันแล้วเจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์เปิดประตูแล้วเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังนั่งเหม่อลอยจึงส่งเสียงอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ บ่าวขอ…วางไว้ให้คุณหนูบนโต๊ะนี้นะเจ้าคะ? ถึงเวลาคุณหนูก็อย่าลืมทานนะเจ้าคะ”
“ห๊ะ? อ้อ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมา “หลีมู่ล่ะ” ทำไมวันนี้จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เห็นหน้าหลีมู่เลย
“พี่หลีมู่หรือกำลังต้มน้ำซุปให้คุณหนูอยู่เจ้าค่ะ” หยาเอ่อร์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวจั๊วะ “พี่หลีมู่บอกว่าช่วงนี้คุณหนูใหญ่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงต้องทานอาหารบำรุงเลือดลมให้มากเพื่อบำรุงร่างกาย”
“อ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน ร่างกายท่อนล่างของนางยังรู้สึกถึงความอุ่นที่กำลังหลั่งไหล “ช่วยไปบอกหลีมู่ให้ข้าหน่อย…ว่าไม่ต้องต้มนานนัก ต้มเพียงรอบเดียวก็พอแล้ว! ” เพราะเมื่อชาติก่อนในช่วงเวลาที่นางเป็นแบบนี้หลีมู่ก็ชอบต้มซุปสารพัดอย่างที่เป็นของบำรุงร่างกายให้นาง
แต่ว่า…ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อน! ธาตุไฟในตัวนางตอนนี้เดิมทีก็ลุกโชนอยู่แล้ว ซูเหลียนอวิ้นเกรงว่าหากนางยังกินของแบบนี้เข้าไปอีก ในวันพรุ่งนี้นางคงต้องนั่งเอามืออุดจมูกตลอดเวลาเพราะเลือดกำเดาพุ่งออกมา
“ได้เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่” หยาเอ่อร์ก้มหน้าเพื่อจัดวางอาหารจากนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น”เดี๋ยวบ่าวจะไปบอกพี่หลีมู่ให้”
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าพยายามอดกลั้นความรู้สึกปวดท้องของตนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจากอารมณ์ของตนที่พลุ่งพล่านเกินไปเมื่อครู่นี้ “เดี๋ยวก่อน หยาเอ๋อร์ เจ้าอย่าเพิ่งไป! “
ซูเหลียนอวิ้นใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวเองลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยังโต๊ะหนังสือ “ข้าขอเขียนจดหมายก่อนแล้วเดี๋ยวเจ้า…ช่วยเอาไปฝากไว้ที่คนเฝ้าประตูให้เอาจดหมายฉบับนี้ เอ่อ ส่งไปที่จวนจิ้งอันโหวนะ แล้วอย่าลืมกำชับคนเฝ้าประตูด้วยล่ะว่าให้รีบส่งจดหมายฉบับนี้ด่วน”
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่านางมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องนัดต้วนเฉินเซวียนออกมาเปิดอกคุยกันให้รู้เรื่อง! เพราะนางต้องถามให้รู้เรื่องว่า เขาต้องการทำอะไรกันแน่ทำไมเขาต้องมาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่อย่างนี้ หากเขาต้องการจะปั่นหัวตนเล่นก็ให้เขาไปปั่นหัวคนอื่นเล่นดีกว่า ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์ ขออภัยด้วยที่นางไม่มีอารมณ์เล่นเป็นเพื่อนเขา!
ซูเหลียนอวิ้นยกพู่กันขึ้นมานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลงมือเขียนอย่างไหลลื่นหลายบรรทัดจากนั้นจึงผนึกซองแล้วส่งให้หยาเอ่อร์พร้อมเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว เอามันไปได้ และอย่าลืมว่าให้รีบไปส่ง” มิเช่นนั้นมันจะติดอยู่ในใจของนาง ซึ่งจะทำให้นางเหนื่อยอย่างยิ่ง!
ณ จวนจิ้งอันโหว
“หลิวจือ มีจดหมายมา! ” เมื่อคนที่อยู่ด้านนอกเห็นหลิวจือเดินอยู่ไกลๆ ตอนนั้นเขาจึงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้วแหกปากตะโกนร้องเรียกออกไป
“มีจดหมายรึ” หลิวจือพุ่งตัวไปถึงด้านหน้าคนผู้นั้นแล้วเอ่ยขึ้น “เขียนถึงผู้ใด ใช่ของข้าหรือไม่” หรือว่าจะมีภารกิจอะไรให้เขาทำเพราะช่วงนี้เขารู้สึกว่างงานจนเบื่อ เบื่อจนถึงขนาดที่เขาต้องออกไปเดินวนไปวนมาอยู่ในจวนแห่งนี้หลังจากนั้นก็คอยสุ่มสะกดรอยตามคนบางคนเพื่อสอดส่องความผิดปกติ
แต่เมื่อว่างงานจนไม่รู้จะทำอะไรเช่นนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่! ตอนนี้บนตัวเขาแทบจะมีดอกเห็ดงอกออกมา! ดังนั้นหลิวจือจึงหวังว่าเขาจะได้รับมอบหมายให้ไปทำงานอะไรบ้างซึ่งนั่นจะเป็นเรื่องที่ดีมาก!
“จะเขียนถึงเจ้าได้อย่างไร! ” เด็กเฝ้าประตูกลอกตาใส่หลิวจือแล้วเอ่ยอย่างไม่แยแส “เขียนให้คุณชายของพวกเราต่างหาก! เขียนถึงเจ้าหรือหลิวจือเจ้าเอาความมั่นใจเช่นนั้นมากจากที่ใด! นี่เป็นจดหมายพิเศษที่ส่งมาจากจวนแม่ทัพซู! แถมคุณหนูซูยังเป็นผู้ลงมือเขียนด้วยตนเองอีก! ย่อมต้องเขียนให้คุณชายของพวกเราสิ! “
คำพูดที่ช่างตัดชุดนางนั้นเอ่ยไว้ก็ไม่ผิดอะไร ตั้งแต่วันที่ต้วนเฉินเซวียนรำลึกความทรงจำกลับมาได้เป็นต้นมา เขาก็จงใจปล่อยข่าวออกไปว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆ กับซูเหลียนอวิ้น!
สาเหตุข้อแรก เขาคิดว่าการทำแบบนี้จะสามารถทดแทนคำนินทาต่างๆ ในเมืองหลวงเกี่ยวกับซูเหลียนอวิ้น เพราะการถูกนินทาว่าตามจีบบุรุษ…แถมยังถูกปฏิเสธนั้น เป็นเรื่องที่พูดออกไปแล้วน่าขายหน้ามาก สาเหตุข้อที่สองการที่เขาปล่อยข่าวออกไปเพราะหวังว่าจะสามารถตักเตือนบุรุษทั้งหลายที่แอบมองซูเหลียนอวิ้นอยู่ให้รู้ว่าคุณชายต้วนชอบนางแล้ว หากมีผู้ใดที่ไม่กลัวตายอยากจะแย่งชิงก็มาดวลกันสัก
ดังนั้นเมื่อเด็กเฝ้าประตูผู้นั้นรู้ว่าได้รับจดหมายจากซูเหลียนอวิ้น ก็รู้สึกราวกับว่าตนได้รับจดหมายตอบรับจากอนาคตฮูหยินของจวนเสียแล้ว! แล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร
“พอแล้วๆ…” หลิวจือรู้สึกเจ็บใจ “ไม่ใช่ของข้า และก็ไม่ใช่ของเจ้า! เจ้าจะสะใจอะไรนักหนา…” เฮ้อ ตอนไปถึงห้องคงจะต้องเห็นสีหน้าผิดปกติของนายท่านอีกแน่! โธ่ นายท่าน ท่านคงต้องคิดถึงเรื่องแต่งงานแล้ว แต่ช่วยคิดถึงบ่าวในจวนของนายท่านด้วยได้หรือไม่ พวกเขาทุกคนล้วนยังเป็นโสดทั้งสิ้น!