ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 168
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 168 ปกป้อง
หลินเหวินเสี่ยวมองไปยังคนด้านหลังซูเหลียนอวิ้นที่นั่งอยู่ตามปกติ แต่มีรัศมีอำมหิตแผ่ออกมาอย่างซูมั่วเยี่ย เมื่อนางนำมาเปรียบเทียบกับน้องชายของตนที่เจอสตรีเมื่อใดจะพูดจาติดขัดแล้วนางก็ได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น!
“ดังนั้นนะเหลียนอวิ้นที่ข้าบอกว่า ข้ารู้สึกตาขาวเมื่อเจอพี่ชายเจ้า ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียที่ไหน!” ระหว่างที่พูดหลินเหวินเสี่ยวก็ถอนใจ เพราะตั้งแต่เล็กเป็นต้นมา เด็กชายที่ใกล้ชิดกับหลินเหวินเสี่ยวมากที่สุดก็มีเพียงหลินจือถังน้องชายของนางเท่านั้น
แต่ระหว่างหลินจือถังกับซูมั่วเยี่ย? คล้ายว่า…จะไม่ต้องเปรียบเทียบอะไรนัก เพราะเพียงกวาดตาดูสองคนนี้ปราดเดียวก็เข้าใจได้อย่างถ่องแท้สองคนนี้ไม่เพียงแต่มีความคิดที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่ต้องพูดว่าคนละชั้นกันเลยเสียมากกว่า!
“เหวินเสี่ยว” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหลินจือถังไม่ได้สนใจพวกนางอีกแล้วตอนนั้นนางจึงไม่รู้สึกประหม่าอีกต่อไปจึงพูดต่อไปว่า “อันที่จริงแล้วข้าก็แปลกใจอยู่เช่นกันเหวินเสี่ยวนี่คือน้องของเจ้าจริงหรือใช่…แม่เดียวกันหรือไม่”
นั่นเป็นเพราะแม้ว่าหลินเหวินเสี่ยวจะไม่ได้มีนิสัยแบบที่เรียกว่าจัดจ้านแต่ก็นับว่าเป็นสตรีที่ใจกว้างและห้าวหาญ การดำเนินชีวิตของนางล้วนร่าเริงและเรียบง่าย แต่น้องชายของนางผู้นี้…? เขาเพิ่งจะคุยกับตนเพียงไม่กี่คำเท่านั้นแต่หูกลับแดงไปหมด! แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่นิสัยต่างกันมากเกินไปกระมัง
“แน่นอนว่าเราทั้งคู่…ไม่ได้มีแม่คนเดียวกัน” หลินเหวินเสี่ยวหัวเราะแล้วเอ่ยอย่างไร้ความกังวล “แต่นี่มันเกี่ยวอะไรด้วย ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ความจริงข้อนี้ไม่มีทางเปลี่ยน! ดังนั้นเรื่องราวอื่นๆ ข้าคร้านจะสนใจ”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางของหลินเหวินเสี่ยวเป็นเช่นนี้ นางก็เริ่มเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถามอะไรต่อไปดีจึงได้แต่เพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อย่างนั้นก็พออธิบายได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นเหมือนอย่างแม่ของเจ้า น้องชายของเจ้าก็เป็นอย่างแม่ของเขา ดังนั้นจึงมีนิสัยที่แตกต่างกัน”
“อันที่จริงแล้วความจริงไม่ใช่เช่นนั้น” หลินเหวินเสี่ยวเอามือเท้าศีรษะไว้พลางเอ่ยปากต่อช้าๆ “แม่ของข้าแม้ว่าจะเป็นภรรยาหลวง ทว่ากลับมีนิสัยอ่อนแอเสียยิ่งกว่าอนุภรรยาคนที่อ่อนแอที่สุดส่วนแม่ของจือถังแม้ว่าจะเป็นอนุภรรยา แต่กลับเป็นอนุภรรยาที่มีนิสัยจัดจ้านที่สุดในจวน
“แน่นอนว่า นางเพียงมีนิสัยจัดจ้านเท่านั้น แต่นิสัยด้านอื่นๆ ไม่เลวเลย มิเช่นนั้นข้าคงไม่ดีกับจือถังเช่นนี้มีบางครั้งที่แม่ของจือถังลากข้าไปพูดคุยกันเล่นๆ ว่าคนนิสัยจัดจ้านอย่างนาง เหตุใดนางถึงให้กำเนิดลูกชายที่นุ่นนิ่มดุจกระต่ายน้อยเช่นนี้ได้แต่คนขี้ขลาดอย่างแม่ข้ากลับให้กำเนิดลูกสาวเอะอะโผงผางเช่นข้า”
“ก็ดีแล้วมิใช่หรือ” ซูเหลียนอวิ้นยิ้ม “พวกเจ้าทั้งสองคนก็ถือเสียว่าเติมเต็มนิสัยของอีกฝ่าย หากพวกเจ้ามีนิสัยเหมือนกันเวลาที่ต้องพูดคุยกันคิดดูว่าจะวุ่นวายเพียงใด”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น! แต่พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ตระกูลของพวกเราก็เริ่มเป็นกังวล”
“กังวลอะไรก็แค่ขี้อายเองมิใช่หรือ ต่อไปก็คงดีขึ้นเอง”
“เหลียนอวิ้นเจ้ามิได้สังเกตเห็นถึงประเด็นสำคัญของเรื่องนี้” หลินเหวินเสี่ยวส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ คนในตระกูลของพวกเราทั้งหมดกังวลเรื่องนิสัยของน้องชายข้า ต่อไปเมื่อถึงเวลาที่ต้องแต่งงานจะทำอย่างไรเล่า!”
“พรืดดดด” ซูเหลียนอวิ้นวางถ้วยน้ำชาในมือของตัวเองลง พลางคิดว่ายังดีที่นางเพิ่งจะกลืนน้ำลงไป มิเช่นนั้นแล้วคงจะน่าอายมากทีเดียว!
แต่พอคิดๆ ดูแล้วก็ถูก การที่หลินจือถังเป็นเช่นนี้…การแต่งงานคงถือว่าเป็นเรื่องยากมากทีเดียว
“เจ้าคงคิดว่าก็ให้เขาแต่งงานกับผู้ที่มีนิสัยอ่อนแอแทน เช่นนั้นคู่นี้คงจะเป็นคู่ขี้ขลาดตาขาวด้วยกันทั้งคู่ วันข้างหน้าหากโดนรังแก ทั้งสองคนนี้ผู้ใดจะเป็นฝ่ายกล้าลงมือเล่า! แต่หากเขาแต่งงานกับผู้ที่มีนิสัยเข้มแข็งหน่อย? หากเป็นเช่นนั้นน้องชายของข้าคงจะเป็นฝ่ายถูกรังแกอย่างแน่นอน!”
“ก็ใช่…” ซูเหลียนอวิ้นครุ่นคิด อืม…ประเด็นนี้ถือว่าถูก!
“เหลียนอวิ้น พอข้าเห็นพี่ชายของเจ้าก็นึกเรื่องเรื่องหนึ่งออกเลยอยากจะขอร้องให้เจ้าช่วยสักเรื่องได้หรือไม่” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยปากขึ้นอย่างช้าๆ สายตาที่นางใช้มองซูเหลียนอวิ้นเต็มไปด้วยความจริงใจ
“เจ้าว่ามาก่อนเถิด หากข้าช่วยได้ก็จะช่วย”
“เรื่องๆ นั้นก็คือช่วยเอาน้องชายของข้าส่งไปอยู่กับพี่ชายของเจ้าที่ค่ายทหารสักสองสามวันได้หรือไม่เผื่อจะปลุกเขาให้มีสัญชาตญานขึ้นมาบ้าง!” หลินเหวินเสี่ยวถอนใจ “เหลียนอวิ้นเจ้าคงไม่รู้ว่าเขาโตขนาดนี้แล้ว แต่หลายครั้งที่เขาสู้ข้าไม่ได้มักจะร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล! ข้าแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ข้าหวังว่าจะมีใครสักคนช่วยรักษานิสัยเสียเช่นนี้ของน้องข้าได้เร็วๆ เสียที”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
บุรุษที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง ซ้ำยังโตขนาดนี้…เฮ้อ ใต้เท้าหลินน่าเห็นใจมากทีเดียว!
“ท่านพี่ พี่เหลียนอวิ้น พวกท่านทั้งสองไม่ต้องพูดแล้ว!” หลินจือถังหันหน้ากลับมาหน้าของเขาแดงระเรื่อ “ข้า ข้าจะไม่ไปที่ค่ายทหาร!” มีครั้งหนึ่งที่เขาแย่งของกับพี่สาวของเขา และของสิ่งนั้นก็คือเครื่องหอมจากแดนซีอวี้ที่มีกลิ่นเตะจมูกสุดท้ายในระหว่างที่กำลังแก่งแย่งกันอยู่นั้น ฝาของของสิ่งนั้นก็หลุดออกมาเป็นเหตุให้เขาร้องไห้
เป็นเหตุการณ์ครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว! ทำไมเวลาที่พี่สาวของเขาพูดถึงต้องพูดราวกับว่าเขาชอบร้องไห้บ่อยๆ อย่างนั้นด้วย
อีกอย่างเขาคิดว่านิสัยของเขาดีขึ้นมากแล้วด้วยซ้ำ? มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่เขาต้องสนทนากับสตรีตัวเป็นๆ ถึงจะรู้สึกตื่นเต้นไม่เป็นตัวของตัวเอง
“น้องชายเจ้าน่ารักทีเดียว” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลินจือถังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอธิบายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อันที่จริงเขาไม่เลวเลย แต่หากเทียบกับนิสัยของเจ้าแล้ว น้องชายของเจ้าอาจจะดูอ่อนแอมากกว่าเท่านั้นอันที่จริงก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ น้องชายของเจ้าแค่ไม่เก่งการเจรจาเท่านั้นกระมัง”
เนื่องจากทั้งสองชาติที่ผ่านมาของนาง นางเป็นผู้ที่อาวุโสน้อยที่สุดในบ้าน เป็นคนที่ได้รับการทะนุถนอมเอาใจจากทุกคนในครอบครัว ด้วยเหตุนี้เมื่อนางเห็นผู้ที่มีอายุน้อยกว่านางแถมยังเป็นคนที่น่าทะนุถนอมด้วยเช่นนี้ ซูเหลียนอวิ้นจึงรู้สึกว่านางอยากจะปกป้องเขาขึ้นมา!
“อย่างไรข้าก็รู้สึกว่าเขาน่ารัก เหวินเสี่ยวเจ้าก็อย่าเข้มงวดกับเขานักแลย”
หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้ทำเสียอย่างกับว่าข้ารังแกเขา…”
“เพราะว่าเจ้ารังแกเขาจริงนี่ น้องชายของเจ้าน่ารักขนาดนี้ เจ้าอย่ามัวบ่นว่าเขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เลย!” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกมาเตรียมจะสัมผัสหลินจือถังเพื่อเป็นการปลอบประโลม แต่เมื่อนางยื่นมือออกไปกลับรู้สึกถึงสายตาเย็นชาอย่างรุนแรงจับจ้องมาที่นาง ทำเอานางตกใจจนมือที่ยื่นออกไปได้เพียงครึ่งเดียวต้องหยุดชะงัก
ซูเหลียนอวิ้นหันหน้ากลับไปอีกทาง ทว่าทุกคนต่างพูดคุยอยู่ตามปกติ ไม่มีผู้ใดมองมาที่นางตอนนั้นเองที่นางเริ่มสับสน นางรู้สึกไปเองงั้นหรือเมื่อครู่นี้มีคนมองมาที่นางอยู่ชัดๆ
“เหลียนอวิ้นเจ้าเป็นอะไรไป” เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นก็ไม่เข้าใจเท่าใดนัก “เจ้ากำลังหาคนอยู่หรือ”
“เปล่า” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้า “เมื่อกี้นี้ข้าเพียงรู้สึกว่ามีคนจ้องข้าอยู่!”
หลินเหวินเสี่ยวมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างแปลกใจ “เหลียนอวิ้นเจ้าคิดไปเองกระมังข้านั่งอยู่กับเจ้าแท้ๆ ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกอะไร”
“แต่อันที่จริง ข้าก็เริ่มรู้สึกแล้ว…” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยปากเบาๆ จากด้านข้าง “เมื่อครู่นี้ข้าเองก็รู้สึกเช่นกันว่ามีคนจ้องข้าอยู่…ตอนนั้นข้าเข้าใจว่าตัวเองจินตนาการไปเองเสียอีก…”