ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 179
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 179 อภัย
“ท่านจะทำอะไรกันแน่! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ตอนนี้ใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด เพราะแม้ว่านางจะรู้มาตลอดว่าต้วนเฉินเซวียนแรงเยอะ แต่…นี่เขาออกแรงมากเกินไปหน่อยหรือไม่
ตอนนี้นางรู้สึกราวกับว่าข้อมือของนาง โดนบีบจนแทบจะหักออกเป็นท่อนแล้ว!
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า” ต้วนเฉินเซวียนเบามือลง แต่ยังคงไม่ปล่อยมือออกจากซูเหลียนอวิ้น “ข้าอยากคุยกับเจ้าตามลำพังสักสองสามประโยค” คำพูดที่เขาเตรียมจะพูดต่อจากนี้ เขาได้เตรียมเอาไว้นานแล้ว แต่เป็นเพราะหวงหน้าหวงตาของตัวเองจึงไม่สามารถสารภาพออกไปตามตรงได้
ทว่าตอนนี้…ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่ามีบางคำพูดหากไม่พูดออกไปคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
คนที่ซูเหลียนอวิ้นวางแผนจะแต่งงานด้วยไม่ใช่เขา การตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ทำเอาเขาแทบคลั่ง! เพราะเมื่อชาติก่อนทั้งสองรู้จักกันมานานเสียขนาดนั้น แต่เขากลับเข้าใจในตัวซูเหลียนอวิ้นน้อยมาก
ดังนั้นเขาจึงรู้อยู่ลึกๆ ในใจว่าหากเขายังปล่อยซูเหลียนอวิ้นต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าซูเหลียนอวิ้นคงจะไปตกหลุมรักผู้อื่นเข้าจริงๆ เพราะตัวซูเหลียนอวิ้นเองนั้นโดดเด่นเปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่ามาโดยตลอด คล้ายมีแสงเปล่งประกายระยับออกมาจากตัวนางตลอด
คนที่หลงใหลในตัวนางนับวันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เคยลดลง ดังนั้นเมื่อต้วนเฉินเซวียนตระหนักได้ว่าอาจมีศัตรูทางหัวใจที่เขาไม่รู้จำนวนมากแอบอยู่มุมใดมุมหนึ่งและคอยจ้องจะลงมือจีบซูเหลียนอวิ้นอยู่ เขาจึงคิดว่าจะต้องรีบลงมือทำอะไรสักอย่าง
หากบอกว่าเมื่อชาติที่แล้วซูเหลียนอวิ้นเปรียบเสมือนอัญมณีที่ไม่ผ่านการเจียระไนแล้ว เช่นนั้นซูเหลียนอวิ้นในชาตินี้ก็เปรียบเสมือนอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนจากช่างฝีมือชั้นยอดอย่างประณีตเสียจนกลายเป็นอัญมณีที่ประเมินค่าไม่ได้เสียแล้ว ใครก็ตามที่แม้หันไปมองเพียงคราเดียวก็จะไม่อาจละสายตาออกไปได้
ซูเหลียนอวิ้นลูบข้อมือของตัวเองบริเวณที่ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ และกำลังจะเงยหน้าขึ้นเพื่อค้อนต้วนเฉินเซวียน ทว่าเมื่อเห็นสายตาจริงจังอย่างมากของต้วนเฉินเซวียนแล้ว…ซูเหลียนอวิ้นพลันรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกเป็นลูกหนังที่เ**่ยวฟี้บไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
ดูเหมือนว่าต้วนเฉินเซวียนมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่อยากจะพูดกับเรา? เพราะสายตาเช่นนี้…นางไม่เคยพบเจอมาก่อนเลย
“ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าแล้วเอ่ยอู้อี้ออกมา “น้องคิดว่าน้องมีเรื่องต้องคุยกับเขาเจ้าค่ะ” คุยว่าต้วนเฉินเซวียนต้องการจะทำอะไรกันแน่ การที่เขามาปรากฏตัวเช่นนี้และสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตนางทุกครั้ง สรุปแล้วเขาวางแผนจะทำอะไรกัน
“อวิ้นเอ๋อร!” ซูมั่วเยี่ยจ้องนางด้วยอารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ขนาดเมื่อครู่นี้เขาอยู่ต่อหน้าพี่ เขายังกล้า… หากพี่ไม่อยู่ด้วยแล้วเขาทำอะไรเจ้าขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า”
“พี่ซูวางใจเถิด” ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มด้วยใบหน้าซีดขาว แล้วชี้ไปยังศาลาหลังเล็กที่อยู่ไม่ไกลหลังหนึ่ง “พวกเราจะไปนั่งคุยกันที่ศาลาหลังเล็กตรงนั้น แน่นอนว่าอยู่ในสายตาของพี่ซู อย่างนี้ถือว่าได้หรือไม่”
“ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ”
“ตกลง” ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อซูมั่วเยี่ยโดนซูเหลียนอวิ้นและต้วนเฉินเซวียนจ้องมองเช่นนี้จึงยอมเอ่ยปากออกมา “แต่พี่ให้คุยกันเพียงครู่เดียวเท่านั้น! อีกเรื่องหนึ่งคือหากเจ้ากล้าลงมือทำอะไรก็ตามกับน้องสาวข้า เจ้ารอข้าสั่งสอนเจ้าได้เลย!” สายตาของซูมั่วเยี่ยจ้องต้วนเฉินเซวียนอย่างอาฆาตแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง
“พี่ซูอย่าห่วงเลย คุยกันเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ซูเหลียนอวิ้น พวกเราไปกันเถิด”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วก้าวเท้าตามต้วนเฉินเซวียนไปเงียบๆ แต่ในหัวของนางยังคงคิดซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุดว่าเรื่องอะไรกันที่ทำให้ต้วนเฉินเซวียนมีท่าทีจริงจังขนาดนี้
มันจะเป็นเรื่องอะไรได้
“ซูเหลียนอวิ้น” ต้วนเฉินเซวียนหยุดฝีเท้าลงแล้วค่อยๆ หันตัวกลับมา “ข้าขอโทษ”
ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ถึงแม้ว่าคำขอโทษเป็นหมื่นคำไม่อาจชดเชยความเจ็บปวดที่เจ้าได้รับในตอนนั้นแม้เพียงหนึ่งเสี้ยวในหมื่นก็ตาม แต่อย่างไรเขาก็คงทำได้เพียง…ขอโทษจากใจ
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายคือซูเหลียนอวิ้นไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจแต่อย่างใด นางเพียงกระพริบตาปริบๆ สองสามทีก่อนจะเอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า “ข้ารู้” รู้ว่าท่านขอโทษข้า แถมยังเป็นการขอโทษในหลายๆ เรื่องอีกด้วย
“เอ่อ…”
“การขอโทษของท่านในครั้งนี้ ต้องการจะขอโทษข้าในเรื่องอะไรกัน”
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนอ้าปากค้าง เขาเพียงรู้สึกว่าคอของเขาแห้งผาด คำพูดเหล่านั้นที่เขาเตรียมเอาไว้อย่างดี ตอนนี้เมื่อเห็นดวงตาคู่นี้ของซูเหลียนอวิ้นกลับพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
“เจ้าบอกมาก่อนได้หรือไม่ว่าคำกล่าวขอโทษของข้านี้จะได้รับการอภัยจากเจ้าหรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนหลบตาพลางเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
“ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นเรื่องอะไร” เรื่องราวเยอะเพียงนั้น บางครั้งคำขอโทษเป็นพันๆ คำก็อาจจะยังเล็กน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ เล็กน้อยประหนึ่งเป็นเพียงแค่คำขอโทษประโยคเดียวเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่สามารถที่จะให้อภัยต้วนเฉินเซวียนได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเขา
“อีกอย่างท่านเป็นฝ่ายขอโทษข้าไม่ใช่หรือ ท่านก็ต้องแสดงความจริงใจออกมาหน่อยสิ ท่านต้องบอกข้าก่อนว่าจะขอโทษข้าด้วยเรื่องอะไร!” ซูเหลียนอวิ้นเสียงแข็ง เพราะนางรู้สึกว่า…จากท่าทางเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนแล้วเรื่องๆ นี้จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน!
ผ่านไปพักใหญ่กว่าต้วนเฉินเซวียนจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วเอ่ยออกมาทีละคำช้าๆ ว่า “ซูเหลียนอวิ้น เรื่องต่างๆ เมื่อชาติก่อน ข้าล้วนทำผิดต่อเจ้า ข้าขอโทษเจ้า ดังนั้น…ด้วยเรื่องๆ นี้ เจ้าอภัยให้ข้าได้หรือไม่” อภัยให้ข้าเถิด จากนั้นให้โอกาสข้าได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ต้วนเฉินเซวียนอธิษฐานในใจ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นตอนฟังจบ สายตาของนางที่ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ต้วนเฉินเซวียนจึงเริ่มเข้าใจขึ้นมาตอนนั้นว่า คำว่าสิ้นหวังมันเป็นเช่นนี้นี่เอง…
“ไม่ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยเสียงแข็ง
ลมเย็นๆ พัดผ่านหลังสิ้นเสียงของนาง ลมพัดใบไม้ผลิวไหวหอบเอาเสียงของซูเหลียนอวิ้นที่คล้ายอยู่ในดินแดนที่ห่างออกไปแสนไกลกลับมา นางเอ่ยว่า “ต้วนเฉินเซวียน ท่านรู้เรื่องทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่
“แต่ท่านรู้แล้วจะอย่างไรเล่า ในเมื่อซูเหลียนอวิ้นในชาติก่อนได้ตายไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นที่รักท่านจนลืมทุกสิ่งได้ตายไปแล้ว ดังนั้นที่ท่านถามว่าจะให้อภัยท่านได้หรือไม่นั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถตอบได้
หากถามถึงการให้อภัย นี่ถือเป็นสิ่งที่นางไม่สามารถให้คำตอบได้ เขาควรจะไปถามซูเหลียนอวิ้นที่ถูกฝ่ามือของท่านโจมตีจนตายไปแล้วมากกว่าว่านางจะอภัยให้ท่านได้หรือไม่!
นั่นเป็นเพราะว่าคำตอบของนางในตอนนี้ แน่นอนว่านางไม่ให้อภัย
ไม่ หากจะพูดให้ถูก…เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับนางด้วย? เพราะที่ผ่านมานางเป็นคนประเภทที่สามารถปล่อยวางเรื่องราวได้ตั้งมากมาย ดังนั้นเรื่องราวความแค้นประเภทนี้ให้ลมพัดผ่านไปก็คงไม่เป็นไร
ไร้ความรู้สึก ไร้ความเกลียดชัง ไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนหลับตาทั้งสองข้างของเขาลง “ข้า ข้าหวังว่าจะได้โอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง ถือว่าให้ข้าได้ชดใช้ความผิดก็ได้”
“ไม่ได้” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ย “โอกาสเป็นของที่ล้ำค่า เพราะเป็นของที่ผ่านมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ อีกอย่างนะต้วนเฉินเซวียน ข้ายืนยันว่าข้าพูดจริงๆ”
ซูเหลียนอวิ้เผยรอยยิ้มที่สุกใสเป็นประกาย เวลานี้แสงอาทิตย์ส่องกระทบบนใบหน้าของนาง ยิ่งทำให้ใบหน้าของสุกสว่างจนมิอาจจ้องมองได้โดยตรง “เรื่องราวในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว พวกเรามองไปข้างหน้ากันเถิด ข้าไม่เกลียดท่านหรอก”
แต่ไม่อยากเกี่ยวข้องใดๆ กับท่านอีกต่อไป! เพราะหากไม่มีท่านก็คงไม่มีซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้กระมัง