ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 190 สร้างเรื่องวุ่น
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 190 สร้างเรื่องวุ่น
“ฝ่าบาท” ณ โรงเตี๊ยม เยียลี่ว์เยี่ยนนั่งทอดอารมณ์อยู่ริมหน้าต่างพลางจิบชา
“เกิดอะไรขึ้นรึ” เยียลี่ว์เยี่ยนหันหน้ามาเล็กน้อยแต่ไม่ได้มีท่าทางเร่งรีบแต่อย่างใด “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเยียลี่ว์เยี่ยนอีกหรือ”
ตั้งแต่วันที่เยียลี่ว์เยียนถูกตัดสินให้แต่งงานกับองค์ชายสามหนานกงหงเป็นต้นมา นางก็พยายามทำทุกอย่างอย่างสุดกำลังเพื่อล้มการแต่งงานนี้ให้ได้
อดอาหาร อ้อนวอน แขวนคอ กรีดข้อมือ วิธีการใดก็ตามที่นางนึกออก นางล้วนหยิบออกมาใช้ทั้งสิ้น
ทว่าผลสุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า ทุกครั้งแม่นมและองครักษ์ของนาง
จะมาช่วยนางเอาไว้ได้ทันเสมอ สำหรับเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วไม่ว่านางจะพยายามกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตาม ขอเพียงนางไม่ตายก็พอแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องขององค์หญิงพะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นยกมือประสานคารวะแล้วก้มตัวต่ำลงยิ่งขึ้น “แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องคุณชายต้วนพะย่ะค่ะ”
“อ้อ?” เยียลี่ว์เยี่ยนเลิกคิ้ว “ว่ามาสิ”
เรื่องเกี่ยวกับต้วนเฉินเซวียนรึ เขาคงมิได้ไปก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกกระมัง
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้มีข่าวลือหนึ่งโหมกระพือขึ้น ข่าวนั้นบอกว่าคุณชายต้วนกำลังจะไปสู่ขอคุณหนูตระกูลซูพะย่ะค่ะ”
“อืม…คุณหนูตระกูลซูหมายถึงซูเหลียนอวิ้นใช่หรือไม่” เยียลี่ว์เยี่ยนแปลกใจไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังมีปฏิกิริยากลับมาอย่างรวดเร็ว
“ทูลฝ่าบาท เป็นสตรีนางนั้นพะย่ะค่ะ”
“อืม ข่าวเรื่องนี้เชื่อถือได้หรือไม่”
“เป็นเรื่องจริงแท้และเชื่อถือได้อย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ” ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าเยียลี่ว์เยี่ยนเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จากที่บ่าวได้ยินมา ข่าวนี้ถูกปล่อยออกมาจากองครักษ์คนสนิท ด้วยเหตุนี้คงจะไม่ใช่ข่าวปลอมอย่างแน่นอนพะย่ะค่ะ”
เยียลี่ว์เยี่ยนไม่เอ่ยปากต่อ เนื่องจากเขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ต้วนเฉินเซวียนปล่อยข่าวแบบนี้ออกมาเพื่ออะไรกันแน่
เพราะหากกล่าวว่าเขาไม่มีความหมายและจุดประสงค์อื่นแอบแฝงเลย ต้วนเฉินเซวียนเพียงปล่อยข่าวแบบนี้ออกมาเฉยๆ เท่านั้น ตนจะเป็นคนแรกที่ไม่เชื่อข่าวนี้
เนิ่นนานกว่าเยียลี่ว์เยี่ยนจะยกจอกน้ำชาที่เย็นชืดไปแล้วขึ้นมาดื่มต่อ “แล้วด้านจวนตระกูลซูเล่า มีข่าวอะไรหลุดออกมาบ้างหรือไม่”
“เรื่องนี้…” คนผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ดูท่าฝั่งตระกูลซูแล้ว คงจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่พะย่ะค่ะ”
“ไม่เต็มใจรึ” เยียลี่ว์เยียนหัวเราะขึ้นเบาๆ “มีโอกาสจะสานสัมพันธ์กับจวนคุณชายกลับไม่ยินดี? กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยหรือ” เพราะในมุมมองของเยียลี่ว์เยี่ยนแล้ว ไม่ว่าตระกูลซูจะโดดเด่นในด้านการรบสักเท่าไหร่ แต่นั่นก็ไม่อาจทำให้พวกเขามีวาสนาดีไปตลอดได้!
ที่ผ่านมาตระกูลซูมีเพียงผู้สืบทอดเพียงคนเดียวมาโดยตลอด ในยุคของซูปั๋วชวนเองก็ไม่เปลี่ยนแปลง ครอบครัวมีภรรยาเพียงหนึ่งคนและบุตรอีกสองคนเท่านั้น
ทว่าแม้จะมีลูกเพิ่มขึ้นหนึ่งคน แต่เด็กทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นบุตรี ดังนั้นจึงไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากเดิมเท่าไหร่กระมัง
ตระกูลของตนมีผู้สืบทอดน้อยแถมยังไม่รีบหาทางแผ่กิ่งก้านของตัวเองก็แย่แล้ว แต่นี่ถึงขนาดปฏิเสธบันไดที่จะนำตัวเองให้ก้าวสูงขึ้นอีกหรือ เรื่องนี้ทำให้เยียลี่ว์เยี่ยนมองไม่ออกเลยว่าตระกูลซูเหลียนอวิ้นกำลังคิดอะไรอยู่
“ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือ” คนผู้นั้นก้มหน้าเอ่ยเตือนเยียลี่ว์เยี่ยน “เมื่อก่อนคุณชายต้วนเคยปฏิเสธคุณหนูซูอย่างไร้เยื่อไย! แม้ว่าตอนนี้คุณหนูซูจะตาสว่างและคล้ายไม่คิดแค้นเรื่องนี้แล้ว แต่เกรงว่าในใจคงจะไม่สามารถให้อภัยง่ายๆ เช่นนี้”
“ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนคิดอยากจะกลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าหรือ” เยียลี่ว์เยี่ยนลุกขึ้นยืนพลางจัดแจงเสื้อผ้า “ก็ใช่ คนอย่างเขาแม้แต่เลือกม้าดีๆ สักสองสามตัวยังเลือกเองไม่ได้เลย อย่างนั้นก็แน่ใจได้เลยว่าเรื่องอื่นก็คงไม่ต่างจากการเลือกม้า”
ระหว่างที่เยียลี่ว์เยี่ยนพูดอยู่นั้น แววตาของเขาก็เกิดประกายแห่งความปรารถนาขึ้น “ไปเถิด นานแล้วที่ข้าไม่ได้เดินเล่นที่เมืองต้าชั่ว ดังนั้นถึงเวลาที่ข้าต้องออกไปเดินเล่นบ้างแล้ว พาข้าไปที่ตำหนักหย่างซิน พวกเราเดินเท้าไปกันเถิด”
……
ด้านในโรงเตี๊ยม มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากภายในห้องแคบๆ ที่ห่างไกล
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกล รอบด้านเงียบสงัดผิดธรรมดา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเสียงใดๆ ดังขึ้นที่นี่ก็ตามจะถูกขยายให้ดังขึ้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ในเมื่อคนที่อยู่ห่างไกลยังสามารถได้ยินแล้วคนที่อยู่ใกล้เล่า? ก็ยิ่งได้ยินเสียงก่นด่ากรีดร้องของเยียลี่ว์เยียนอย่างชัดเจน
“พวกเจ้าเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!” เยียลี่ว์เยียนร้องเรียกอย่างคนใจสลาย “พวกเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ ข้าอยากพบท่านพี่ ข้าอยากพบเยียลี่ว์เยี่ยน! บ่าวชั้นต่ำอย่างพวกเจ้ารีบมาเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
บนพื้นในห้องไม่เหลือเศษของจำพวกกระเบื้องหล่นแตกอยู่เลยสักชิ้นเดียว ตอนนี้เหลือเพียงสองอย่างที่เยียลี่ว์เยียนพยายามขว้างมันทุกวัน แถมเก้าอี้ตัวนั้นที่ใกล้จะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เต็มทียังคงกองอยู่บนพื้นดังเดิม
เยียลี่ว์เยียนตะโกนโหวกเหวกมาเป็นเวลานานมากแล้ว ด้วยเหตุนี้เสียงของนางจึงแหบแห้งและคอของนางเริ่มปวดร้าวไปหมด แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้กลับยังไม่มีผู้ใดมาเปิดประตูให้นางหรือส่งเสียงตอบรับเลย สุดท้ายเยียลี่ว์เยียนจึงเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและนั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นจึงหันไปมองรอบๆ
ภายในห้องว่างเปล่าเงียบสงัดเหลือเพียงเตียง เก้าอี้สองตัว โต๊ะอีกหนึ่งตัวและโต๊ะเครื่องแป้งที่ว่างเปล่า นอกจากนั้นไม่มีของสิ่งอื่นอีก
อันที่จริงตอนที่นางเพิ่งมาถึงที่นี่ ของที่ถูกจัดวางอยู่ภายในห้องนี้ถือว่าครบครันเพียงพอ แต่หลังจากงานเลี้ยงวันนั้นเป็นต้นมา นางก็ถูกขังอยู่ในห้องนี้โดยไร้คำอธิบายใดๆ ดังนั้นของทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้จึงขวางหูขวางตาของเยียลี่ว์เยียนทั้งสิ้น!
ของทั้งหมดล้วนเป็นร่องรอยความทรงจำของต้าชั่ว นางไม่ต้องการ นางไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต นางอยากกลับเมืองเยียลี่ว์! นางไม่อยากเห็นสิ่งของเหล่านี้อีก!
ของอะไรที่เขวี้ยงได้ แตกได้ นางล้วนทำพังจนหมดสิ้น ส่วนที่ยังเหลืออยู่ล้วนเป็นสิ่งนางเคลื่อนย้ายไม่ไหวและเขวี้ยงไม่แตก
นั่นเป็นเพราะว่านางไม่ต้องกังวลว่าหลังจากนี้นางเก็บกวาดของเหล่านี้อย่างไร ขอเพียงนางเขวี้ยงของใดๆ ก็ตามในห้องนี้แตกก็จะมีคนส่งเสียงขึ้นทันที จากนั้นจะรีบเดินเข้ามาในห้องเพื่อเก็บกวาดของทั้งหมดออกไป
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเกรงว่านางจะใช้ของพวกนี้ฆ่าตัวตาย เพราะของที่ถูกปาจนแตกจะกลายเป็นของมีคม และเยียลี่ว์เยียนอาจหยิบมันขึ้นมาเพื่อกรีดข้อมือตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นเยียลี่ว์เยียนก็จะไร้ความกลัดกลุ้มใจ ทว่าคนพวกนั้นเล่า…? ความกลัดกลุ้มใจคงจะมิได้ลดน้อยลงไปอย่างแน่นอน
ทว่าในความเป็นจริงนั้นเยียลี่ว์เยียนอยากจะบอกว่า นางรักชีวิตของตัวเองมากกว่าใครๆ ทั้งนั้น จะให้นางตายไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ นางไม่ยอมแน่! เพราะนางเชื่อว่าถนนสายนี้ของนางยังไม่ถึงทางตัน! นางยังมีความหวังอยู่ ขอเพียงให้นางได้พบกับเยียลี่ว์เยี่ยนเท่านั้น
นางจะบอกกับเยียลี่ว์เยี่ยนว่าต่อให้นางไม่แต่งงานกับองค์ชายสาม นางก็สามารถช่วยเขาได้แถมยังจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและผลตอบแทนที่ดีกว่าด้วย!
ดังนั้นตอนนี้นางจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มีโอกาสพบหน้าเยียลี่ว์เยี่ยนสักครั้ง แต่เยียลี่ว์เยี่ยนจะยอมให้ความปรารถนาของนางเป็นจริงหรือ
อดอาหาร ไม่ยอมกินข้าวรึ? ได้เลย เขาเพียงส่งคนมาเปิดปากนางแล้วยัดข้าวเข้าปากบังคับให้นางกินลงไปให้ได้ ผูกคอ ตะโกนร้องรึ? อยากจะร้องก็ร้องเถิด อย่างไรเยียลี่ว์เยี่ยนก็ไม่เชื่อว่านางจะยอมตายไปเช่นนี้จริงๆ
ด้วยเหตุนี้เยียลี่ว์เยียนจึงเริ่มรู้สึกหมดหวัง เพราะในห้องนี้ไม่เหลือของที่นางจะใช้ดึงดูดความสนใจคนข้างนอกได้อีกแล้ว นั่นก็หมายความว่าไม่ว่านางจะพยายามอย่างไร สุดท้ายแล้วก็มีนางเพียงคนเดียวที่วิ่งเต้นสร้างเรื่องวุ่นวายเท่านั้น