ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 191 เนื้อหมู
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 191 เนื้อหมู
เยียลี่ว์เยียนพักผ่อนจนพอแล้ว ร่างกายของนางฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว นางลุกขึ้นและมองไปรอบๆ ตัว นางมองอยู่รอบหนึ่ง สุดท้ายสายตาของนางจึงไปตกอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
พังโต๊ะเครื่องแป้งนี่ให้ล้มคว่ำซะ…คงจะไม่ยากเท่าไหร่กระมัง?
ตอนนี้นางอยากคุยกับใครสักคนเป็นการเร่งด่วน! มิเช่นนั้นแล้วหากนางต้องอยู่ในห้องที่แคบและมืดมนนี้เพียงลำพัง นางคงทนต่อไปไม่ไหวอย่างแน่นอน!
โครม!
มีดังขึ้นสนั่นขึ้น กระจกเงาของโต๊ะเครื่องแป้งร่วงสู่พื้น แม้ว่าจะยังไม่แตก แต่ก็ทำให้เกิดเสียงดังเพียงพอมากกว่าเมื่อครู่นี้ได้
เยียลี่ว์เยียนยิ้มพลางจ้องมองของที่กระจายเกลื่อนอยู่บนพื้น ผู้ใดก็ได้รีบเข้ามาเร็วเข้า!
ผ่านไปครู่หนึ่งเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น เยียลี่ว์เยียนจ้องไปยังบานประตูไม้ที่ในที่สุดก็แง้มเปิดเข้ามา เยียลี่ว์เยียนถอนใจ แสงอาทิตย์จากด้านนอกนั้นดียิ่งหากเทียบกับห้องที่แคบๆ นี่แล้ว ห้องนี้เปรียบเหมือนนรกที่ไม่อาจมองเห็นเดือนเห็นตะวัน ส่วนด้านนอกเปรียบเสมือนสวรรค์คาลัยที่สุขสว่าง
“องค์หญิงเพคะ…” ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือสาวใช้เด็กคนหนึ่ง
เยียลี่ว์เยียนหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้น แต่เนื่องจากนางกำนัลนางนี้ยืนย้อนแสงอาทิตย์อยู่ นั่นจึงทำให้ไม่ว่าเยียลี่ว์เยียนจะพยายามเพ่งมองแค่ไหนก็เห็นแค่รูปร่างเท่านั้น ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้
“องค์หญิง บ่าวเองเพคะ” สาวใช้นางนั้นเดินมาข้างๆ เยียลี่ว์เยียนเพื่อที่จะพยุงเยียลี่ว์เยียนลุกขึ้น ทว่าเพียงเข้าใกล้กลับปะทะเข้ากลับกลิ่นรุนแรงของเยียลี่ว์เยียนจนผงะถอยหลังไป ด้วยเหตุนี้จึงยืนสับสนอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี
“เจ้าเองหรือ” เยียลี่ว์เยียนขมวดคิ้ว นางนึกออกแล้ว คนผู้นี้เมื่อก่อนเป็นสาวใช้ลำดับไม่สูงนักของนาง แต่ลำดับก็ยังล่างเกินไป ดังนั้นนางจึงจำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก นางเพียงเคยเห็นบ่อยๆ จึงคุ้นตาเท่านั้น
“เพคะองค์หญิง บ่าวเอง! บ่าวชื่อเสี่ยวเถา!” เสี่ยวเถาคิดไม่ถึงว่าเยียลี่ว์เยียนจะจำตนได้ด้วย ตอนนั้นนางจึงรู้สึกปลื้มใจมากจึงเดินเข้าไปข้างหน้าและพยายามอดทนกับกลิ่นนั้น จากนั้นจึงประคองเยียลี่ว์เยียนขึ้นมานั่งบนที่นอน
“ครั้งนี้เป็นเวรของเจ้ามาเฝ้าข้าหรือ” เยียลี่ว์เยียนเลิกคิ้วแล้วถามด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นถึงองค์หญิง! ถึงแม้ว่าจะกำลังตกอับ แต่ก็ไม่มีทางที่จะมานั่งระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ กับสาวใช้ลำดับล่างแน่นอน
“เพคะ” หลังจากเสี่ยวเถาเหลือบมองเยียลี่ว์เยียนแล้วก็รีบก้มหน้างุดทันทีแล้วเอ่ยว่า “บ่าวได้ยินเสียงจึงคิดว่าต้องเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแน่จึงรีบเปิดประตูเข้ามาดูเพคะ”
เสี่ยวเถาค่อยๆ ถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อจะไม่ต้องอยู่ใกล้เยียลี่ว์เยียนมากจนเกินไป สาเหตุหลักๆ นั้นมาจากสภาพของเยียลี่ว์เยียนในตอนนี้น่าขนลุกมากจนเกินไป! เค้าเดิมของสาวงามอย่างเยียลี่ว์เยียนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว
กลิ่นเหม็นโชยออกมาจากร่างของนาง ผมของนางมันและพันเป็นก้อน เสื้อผ้าของนางสกปรกมอมแมม ยิ่งใบหน้าของนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง สภาพเช่นนี้เป็นการแต่งตัวของหญิงขอทานสติไม่สมประกอบชัดๆ !
เยียลี่ว์เยียนเป็นผู้ใดกัน นางคือคนที่เติบโตขึ้นท่ามกลางสถานที่อันตรายที่สุดอย่างในวังหลวง อีกทั้งด้วยความที่นางเป็นสตรีด้วยแล้ว นางจึงแตกฉานในเรื่องการมองคนขี้ประจบประแจงและวิเคราะห์ความคิดอ่านของคนอื่น
ด้วยเหตุนี้เอง ความคิดอ่านของเสี่ยวเถาในตอนนี้ แค่เสี่ยวเถาคิ้วขมวด เยียลี่ว์เยียนก็เดาออกได้เจ็ดแปดส่วนแล้วว่ามาจากสาเหตุมาจากเรื่องอะไร
“อย่างนี้เองหรือ ข้านึกว่าเจ้าเป็นห่วงข้าเสียอีก” เยียลี่ว์เยียนยื่นมือออกไปดึงเสี่ยวเถาเข้ามาข้างๆ ตน แล้วเอ่ยต่อไปว่า “เสี่ยวเถา ตอนนี้เหตุการณ์ข้างนอก…เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ท่านพี่ล่ะ ข้าอยากพบหน้าเขามาก” เยียลี่ว์เยียนเอ่ยพลางก้มหน้าเล็กน้อย นางกระพริบตาสองสามที จากนั้นน้ำตาของนางก็เอ่อทะลักออกมาทันที
กล้ารังเกียจนางรึ เยียลี่ว์เยียนก้มหน้าพยายามซ่อนความอาฆาตที่อยู่ในสายตาของตนเอง
เป็นแค่สาวใช้ระดับล่างเท่านั้น! กล้าดียังไงถึงมองนางเช่นนี้ เยียลี่ว์เยียนขอสาบานไว้ตรงนี้ หากนางกลับไปรุ่งเรืองอีกคราใด นางจะต้องเอาความอดสูที่นางได้รับและได้ประสบที่นี่ทั้งหมดคืนกลับไปที่เยียลี่ว์เยี่ยนและคนที่นี่ทั้งหมด!
ทว่าตอนนี้สิ่งที่เยียลี่ว์เยียนทำได้เพียงอย่างเดียวคือร้องไห้ นางพยายามใช้น้ำตาของนางทำให้สาวใช้ตรงหน้านางตอนนี้ใจอ่อน
น้ำตาของโฉมงามทำให้ไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้วยอมเห็นอกเห็นใจ
แต่เยียลี่ว์เยียนลืมไปแล้วว่าวิธีการต่างๆ ของนางที่ประสบความสำเร็จในอดีต มีประเด็นสำคัญเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ นางเป็นโฉมงาม ทว่าสภาพของนางตอนนี้…ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าโฉมงามสองคำนี้เลย
และยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวเถาเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ดังนั้นความทะนุถนอมเห็นใจจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
“องค์หญิง…” เสี่ยวเถาดึงมือตัวเองออกมาจากเยียลี่ว์เยียน “ฝ่าบาท ฝ่าบาทบางทีอาจจะกำลังกลับมาเพคะ” ตอนนี้นางโดนกลิ่นเหม็นโจมตีจนนางแทบจะอาเจียนออกมาแล้ว! ตอนนั้นนางเองก็ไม่ควรใจอ่อนแล้วเลือกเดินเข้ามาที่นี่เลย! แค่โผล่หน้ามาดูนิดเดียวแล้วปิดประตูหนีไปก็จบแล้ว? พอถึงตอนนี้แม้นางจะอยากไปแต่องค์หญิงกลับไม่ยอมปล่อยนางไป
“เจ้าบอกว่าท่านพี่ไปแล้ว เขาออกไปแล้วหรือ?” เยียลี่ว์เยียนเปลี่ยนอิริยาบถพร้อมๆ กับมือของนางที่ค่อยๆ คลายออกตามไปด้วย
“ใช่เพคะ” เสี่ยวเถารีบลุกขึ้นยืน นางขี้เกียจจะเสแสร้งอีกต่อไปแล้วจึงรีบวิ่งไปที่ประตูแล้วค่อยๆ แง้มช่องประตูเปิดออกจากนั้นจึงเอ่ยว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทออกไปแล้ว อย่างนั้นองค์หญิงก็…พักผ่อนเยอะๆ นะเพคะ” นี่ถือว่าเป็นตอนจบของมิตรภาพระหว่างนายกับบ่าวแล้วกระมัง
ในความคิดขอเสี่ยวเถาตอนนี้ สิ่งที่เยียลี่ว์เยียนกำลังพยายามทำทั้งหมดล้วนเป็นการหาเรื่องเข้าตัว ทำให้ตัวเองโดนลงโทษเท่านั้น
เนื่องจากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นอกจากที่เยียลี่ว์เยี่ยนสั่งปิดที่นี่เอาไว้แล้วนั้น การดูแลเรื่องอื่นๆ ถือว่าไม่ได้ขาดเหลืออะไรสำหรับองค์หญิงเลย อาหารการกินก็จัดหามาให้ตรงเวลา ของที่ต้องซักล้างล้วนเปลี่ยนทุกวันเช่นกัน
ทว่าเยียลี่ว์เยียนกลับไม่เคยรู้จักพอ นางรูสึกว่าอาหารไม่ถูกปากนาง เสื้อผ้าก็ไม่สวยงาม ทุกๆ วันหลังจากที่นางกินข้าวเสร็จ บนพื้นในห้องจะต้องกระจายเกลื่อนกราดไปด้วยถ้วยชามที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีมื้อใดเลยที่นางจะไม่แสดงละครสักครั้ง
ดังนั้นในช่วงหลังๆ มานี้ ความอดทนของเยียลี่ว์เยี่ยนจึงเริ่มหมดลง เพราะที่เขายังจัดอาหารดีๆ ให้เยียลี่ว์เยียนกินนั้นก็เป็นเพียงเพราะว่าอยากให้นางดูมีน้ำมีนวลขึ้นจะได้โดดเด่นสะดุดตา พอถึงเวลาราคาจะได้ขายได้ค่าตัวดีขึ้นหน่อย
ก็เหมือนกับหมูสักตัวที่ก่อนมันจะโดนฆ่าเพื่อเอาเนื้อไปขายนั้น คนเลี้ยงจะต้องให้อาหารดีๆ แก่มันและเลี้ยงมันดีๆ กว่าเดิม แต่หมูอย่างไรก็เป็นเพียงหมูเท่านั้น หากถูกเลี้ยงอย่างอยู่ดีกินดีจนเคยชินแล้ว มันก็จะลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นแค่หมูตัวหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจึงอย่าได้กินอะไรอีก
เพราะว่าตัวผอมบางก็กินอร่อยเช่นกัน
ดังนั้นสถานการณ์ของเยียลี่ว์เยียนจึงเป็นเช่นนี้ การก่อเรื่องวุ่นวายทุกวันมีแต่จะทำให้เยียลี่ว์เยี่ยนรู้สึกว่าขอเพียงให้ใบหน้าของนางไม่เสียโฉมและนางยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ว่านางจะพยายามอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้งเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดเป็นอย่างอื่น