ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 194 รอยเดิม
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 194 รอยเดิม
ต้วนเฉินเซวียนหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอามือกุมหน้าผากตัวเอง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ ลูกปวดหัว” แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ถือว่าปวดมากนัก แต่หากคุยกันจนจบแล้วเกรงว่าคงจะปวดรุนแรงอย่างแน่นอน!
“ปวดหัว?” จังเจาหวาเลิกคิ้ว “ทำไมแม่ถึงดูไม่ออกว่าเจ้าปวดหัว อีกอย่างตอนนี้เจ้ายังยืนคุยกับแม่ไหวมิใช่หรือ เช่นนั้นก็คงไม่เป็นอะไรมาก ดังนั้นทนหน่อยเถิด ทนอีกนิดเดียวเจ้าก็ไม่รู้สึกปวดแล้ว”
“ได้ขอรับท่านแม่” ต้วนเฉินเซวียนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป “ท่านแม่มาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร” เขาเองไม่ใช่คนตาบอด เห็นชัดๆ ว่ามารดาของเขาแอบซุ่มมา! ดังนั้นจะแอบตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่มีประโยชน์อะไร! ดังนั้นสู้เขาเผชิญหน้ากับความจริงอย่างตรงไปตรงมาจะไม่ดีกว่าหรือ
“เซวียนเอ๋อร์” จังเจาหวาหยักไหล่เล็กน้อย “มิใช่ว่าแม่เร่งเจ้าหรือตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่ว่าเจ้าก็…”
“เจ้าก็ควรรีบแต่งงานได้แล้วใช่หรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนเอามืออุดหู “ท่านแม่กำลังจะพูดเรื่องนี้ใช่หรือไม่” ทุกครั้งที่เทียวไปเทียวมาที่นี่ล้วนจะต้องพูดเรื่องนี้! พวกเราจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาที่มันแปลกใหม่กว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร
จังเจาหวาเมื่อถูกเปิดเผยจุดประสงค์เช่นนี้กลับไม่รู้สึกโกรธ แต่กลับพยักหน้าอย่างชื่นชม “เจ้ารู้ก็ดีแล้ว” เพราะจังเจาหวาวุ่นวายใจอยู่แต่กับเรื่องของต้วนเฉินเซวียนตลอด! เพราะคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับต้วนเฉินเซวียน หากไม่แต่งงานไปแล้วอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีสาวใช้ผู้หญิงที่คอยดูแลอยู่ที่เรือนกันบ้างแล้ว
แล้วพอหันมามองที่ลูกชายของตน ไม่เพียงไม่มีใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นสาวใช้ผู้หญิงจากที่ใดก็ตามล้วนหาข้ออ้างไล่ออกจากเรือนทั้งหมด!
สุดท้ายแล้วนางจึงอดคิดไม่ได้ว่า ลูกชายของนางจะไม่…ไม่สนใจในสตรีเพศ?! มิเช่นนั้นแล้วทำไมถึงไม่ยอมใกล้ชิดสตรีเลยเช่นนี้
“อือๆ ลูกรู้แล้ว” ต้วนเฉินเซวียนตอบรับไปส่งๆ “เดี๋ยวลูกก็แต่งงาน ท่านแม่อย่าห่วงเลย” อีกเดี๋ยวก็จะแต่งงานแล้ว คราวนี้เขาจริงจัง!
“เจ้ารับปากแม่ไปส่งๆ เท่านั้นใช่หรือไม่” ผ่านไปพักหนึ่ง จังเจาหวาจึงถลึงตาใส่ “ช่างเถิด จุดประสงค์ที่แม่มาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องนี้”
“อือ” ดังนั้นความหมายก็คือตอนนี้ท่านแม่จะยังไม่ไปใช่หรือไม่
“สิ่งสำคัญที่แม่อยากรู้คือ เจ้ามีความคิดอย่างไรกับคุณหนูตระกูลซูคนนั้น”
ต้วนเฉินเซวียน “…”
นี่เจ้าหลิวจือเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศทั่วอีกแล้ว! ขนาดท่านแม่ของเขาก็ยังรู้เรื่องนี้ด้วย!
“แม่ถามเจ้าอยู่นะ!” เมื่อจังเจาหวาเห็นว่าต้วนเฉินเซวียนไม่สนใจจึงเอานิ้วจิ้มไปที่เอวของเขา “เซวียนเอ๋อร์เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือว่าตอนนี้เจ้ากำลังคิดอยู่ว่าแม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“โอ๊ย!” ต้วนเฉินเซวียนเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้าน
เนื่องจากเอวเป็นส่วนที่ไวต่อความรู้สึกมากที่สุด พอมีคนเอานิ้วมาจิ้มเช่นนี้จึงทำให้เขารู้สึกจั๊กกะจี้จนอยากจะหัวเราะออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยเมื่อคนคนนี้คือท่านแม่ของเขา คนที่รู้จักเขาดีที่สุด
“ลูกจะปิดบังท่านแม่ได้อย่างไร” เขาไม่ได้อยากจะปิดบัง แต่หลิวจือคงจะเข้าใจอะไรผิด ดังนั้นเขาไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนว่าจะปิดบังท่านแม่!
“แม่ก็คิดว่าลูกไม่กล้าทำเช่นนั้น ไหนว่ามาสิว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“ก็เป็นอย่างนั้นนั่นแหละ”
“ก็เป็นอย่างนั้น? หรือว่าครั้งนี้เซวียนเอ๋อร์เอาจริง”
ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรจะจริงจังกว่านี้อีก”
จริงจังเสียจนไม่อาจจริงจังได้มากกว่านี้แล้ว
“อย่างนั้นแม่ก็วางใจได้แล้วสิ” จังเจาหวาเอามือตบเบาๆ ที่อก “แต่ว่าทำไมครั้งนั้นที่เจ้าไปร่วมงานพิธีปักปิ่นของนาง ลูกถึงได้ทำหน้าอย่างกับฟ้าถล่มแล้วบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับนางสักนิด”
รอยยิ้มของจางเจาหวาหดเล็กลง “ตอนนี้เจ้ารู้สึกเสียดายแล้วสิท่า เพราะแม่นางตระกูลซูเป็นคนสวยที่หาผู้ใดเทียบได้ยาก แต่นางรู้เรื่องนี้หรือไม่ เรื่องที่เจ้าเคยรังเกียจนางเอาเสียมากๆ ถ้าหากนางไม่รู้แม่ต้องรีบไปเจรจากับนางสักหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นแล้วหากเจ้าเกิดไม่จริงใจขึ้นมาแล้วนางโดนเจ้าหลอกขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร”
“ท่านแม่ หากท่านอยากให้ลูกชายไม่ได้แต่งงานไปตลอดชีวิต ท่านแม่จะไปก็ไปเลย” นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่อยากให้จังเจาหวารู้เรื่องอะไรก็ตามของเขาเลย!
ตั้งแต่เล็กจนโต เรื่องใดๆ ก็ตามที่เขาลงมือทำท่านแม่ล้วนมีส่วนช่วยเขาไม่น้อย เรื่องนี้เขาไม่เถียง! แต่หลายๆ ครั้งที่เรื่องราวความวุ่นวายต่างๆ ของเขากลับเกี่ยวข้องกับท่านแม่ไม่น้อยเลยทีเดียว!
“แม่เห็นเจ้าจริงจังเช่นนี้ก็พอใจแล้ว” จังเจาหวาหุบยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “สตรีไม่เหมือนบุรุษ บุรุษต่อให้แต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่รักก็ยังสามารถอ้างเหตุผลต่างๆ นานาจนเอาคนที่ตัวเองรักมาอยู่ใกล้ๆ ได้ เช่นให้อยู่แบบเป็นอนุ อย่างไรก็ตามก็ถือว่าได้อยู่ด้วยกัน แต่สำหรับสตรีแล้วชีวิตนี้แต่งงานได้กับคนเพียงคนเดียว หากแต่งงานกับคนดีก็ถือว่าชนะพนัน โชคชะตาชีวิตดี แต่หากแต่งกับคนไม่ดีเล่า คงได้แต่บอกว่าเวลาไม่คอยใคร ชะตาชีวิตรันทด”
“ท่านแม่” ต้วนเฉินเซวียนเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวแล้วนั่งลงข้างๆ จังเจาหวา จากนั้นจึงจับมือนางเอาไว้ “ท่านแม่ ลูกไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อีกอย่างเรื่องใดๆ ก็ตามที่ลูกทำลงไป ตอนนี้ลูกไม่เคยเสียดายเลย
เสียดายรึ? นั่นมันมีประโยชน์อะไรเล่า
เพราะนั่นจะทำให้เขาเพียงรู้สึกเจ็บปวดเข้ากระดูกไม่ว่าจะทั้งยามกลางวันหรือยามกลางคืนเท่านั้นกระมัง อีกอย่างยิ่งคิดมากก็มีแต่จะยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตอนนั้นตัวเองทำพลาดไปมากแค่ไหน
ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหาไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรอย่าได้เสียดาย หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรต่อไปต้องพยายามปิดโอกาสไม่ให้ตัวเองต้องรู้สึกเสียดายอีก
“ดี” จังเจาหวาดึงความคิดของตัวเองกลับมาจึงรับรู้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ๆ นี้ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าฝ่ามือของลูกชายตนใหญ่ถึงขั้นกุมมือของตัวเองไว้ได้มิดแล้ว
เนื่องจากตลอดชีวิตนี้ของนาง คนที่นางแต่งงานด้วย คนที่นางอยู่กินด้วยกันตลอดมาคือความผิดพลาดในชีวิตของนาง
ดังนั้นนางในตอนนี้จึงรู้สึกกลัวจวนแสนใหญ่โตโอ่อ่าแห่งนี้เป็นอย่างมาก! และสิ่งที่นางพอจะทำได้เพียงอย่างเดียวสำหรับใครก็ตามที่กำลังจะแต่งเข้ามาในจวนแห่งนี้คือการปิดกั้นโอกาสเอาไว้ก่อ
“แม่แค่หวังว่าแม่นางคนนั้นจะไม่ซ้ำรอยเดิมเช่นเดียวกับแม่อีก” จังเจาหวายื่นมือออกไปไล้ตามใบหน้าของต้วนเฉินเซวียน “แต่ลูกของแม่ไม่เหมือนกับเขาใช่หรือไม่”
เซวียนเอ๋อร์ไม่มีทางทำอย่างนั้นกับผู้อื่นใช่หรือไม่
“อืม ไม่ทำขอรับ” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเบาๆ “ท่านแม่วางใจได้เลย เพราะมีข้าอยู่” หากต้องให้สตรีมาแบกรับเรื่องราวทุกอย่างเอาไว้หมด นั่นจะยังเรียกว่าบุรุษได้อีกหรือ
“แม่รู้” จังเจาหวาหลบหน้าไปอีกทางไม่อยากคุยกับต้วนเฉินเซวียนเรื่องนี้อีกต่อไป
เพราะในใจของนางรู้ดีว่าหากไม่มีต้วนเฉินเซวียนอยู่ล่ะก็ คงเป็นไปได้ไม่ได้เลยแม่แต่นิดเดียวที่นางจะยังอยู่ในเรือนเล็กๆ สี่เหลี่ยมแห่งนี้ต่อไป!
“เซวียนเอ๋อร์”
“อื้ม ท่านแม่ว่ามาเลย”
“เจ้า ช่วงนี้เจ้าได้ไปเข้าเฝ้าฮองเฮาบ้างหรือไม่” จังเจาหวาเอ่ยอย่างลังเล “ช่วงนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยได้เข้าไปในวังเลย หากไม่ได้ไปเจ้าก็ลองหาเวลาเข้าไปเยี่ยมฮองเฮาบ้าง ฮองเฮาอยู่ในวังหลวงตัวคนเดียวเช่นนั้นก็คงไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก จะดีจะร้ายอย่างไรแม่ก็ยังออกไปข้างนอกได้บ้างแต่ฮองเฮา…ต่อให้อยากออกมาก็คงออกมาไม่ได้”