ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 195 ตำแหน่ง
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 195 ตำแหน่ง
“ถึงเวลาลูกจะไปดูเอง ท่านแม่อย่ากังวลเลย” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยปลอบ “อีกอย่างตอนนี้ท่านแม่อย่ามัวแต่คิดเรื่องของคนอื่นอยู่เลย! เรื่องงานแต่งงานของลูกชายท่านแม่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด!”
“เด็กหน้าเหม็น อย่าทำเป็นเล่น!” จังเจาหวาทุบไหล่ต้วนเฉินเซวียนเพื่อหยอกล้อ “นี่อยากจะได้เมียจนอดใจรอไม่ไหวเชียวหรือ”
“รอไม่ไหว” ต้วนเฉินเซวียนทำหน้าเคร่ง “รอไม่ไหวเลยแม้แต่นาทีเดียว! ดังนั้นทุกวันนี้สิ่งที่ลูกคิดคือเมื่อไหร่จะพาซูเหลียนอวิ้นมาอยู่ที่จวนของเราได้ ท่านแม่จะได้เห็นเสียที ท่านแม่พูดอยู่ทุกวันมิใช่หรือว่าอยากมีหลานสาว”
“เซวียนเอ๋อร์ ไม่รู้จักขายหน้าผู้อื่นบ้างหรือ” จังเจาหวากวาดตาสำรวจต้วนเฉินเซวียนแล้วกรอกตา “ลูกนี่จริงๆ เลย…ตอนแรกตอนที่แม่อยากให้เจ้าแต่งงาน เจ้ายอมตายแต่ไม่ยอมแต่งเด็ดขาด! พอมาตอนนี้ดูท่าทุกลมหายใจของเจ้าคงอยากจะไปอยู่ที่จวนตระกูลซูเต็มทนแล้วกระมัง เจ้าจะให้แม่บอกกับคนตระกูลซูเอาไว้ก่อนไหมเล่าว่าแม่จะส่งเจ้าไปอยู่ที่จวนตระกูลซู เจ้าจะได้อยู่ที่นั่นตลอดเวลา”
“มิได้หรอก” ต้วนเฉินเซวียนส่ายหน้า “ต้องสู่ขอนางให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นแล้วต่อให้ลูกไปอยู่ที่จวนตระกูลซู แต่คนสำคัญที่สุดไม่อยู่ที่นั่น มันจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า ในเมื่อคนที่ลูกอยากแต่งงานด้วยคือคนตระกูลซูมิใช่แต่งกับบ้าน”
“เอาล่ะๆ เจ้าจะว่ายังไงมันก็เรื่องของเจ้า” จังเจาหวาลุกขึ้นยืนแล้วมองไปที่หน้าต่าง “แม่ควรกลับได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพ่อของเจ้า…แม่ไปก่อนล่ะ”
“ท่านแม่!” ต้วนเฉินเซวียนรู้ว่าประโยคที่เหลือจังเจาหวาจะเอ่ยว่าอะไร สีหน้าของเขาจึงกลับมาปกติเหมือนเดิม “ท่านแม่ ทำไมท่านต้องลำบากด้วย ท่านมีลูกคอยปกป้องอยู่ ท่าน…”
“เซวียนเอ๋อร์” จังเจาหวาขัดจังหวะขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าเรียกแม่ว่าแม่ เช่นนั้นทุกเรื่องขอให้เจ้าฟังแม่เถิด เรื่องใดควรทำเรื่องใดไม่ควรทำแม่รู้ขอบเขตดี
“ยังมีอีกเรื่องนะเซวียนเอ๋อร์ ลูกควรมีตำแหน่งหน้าที่การงานได้แล้ว! เพราะเจ้ากำลังจะแต่งงานแล้ว ลูกจะใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าแม่จะรู้ว่าตอนที่แม่ไม่เห็น ลูกคงมีเรื่องที่ต้องจัดการหลายอย่าง แต่ในด้านที่มองเห็นเจ้าควรลงมือทำอะไรบ้างได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นแล้วจะให้คนตระกูลซูวางใจยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับเจ้าได้อย่างไร”
“ได้ๆๆ ท่านแม่ลูกเข้าใจแล้ว” การพูดบ่นยาวเหยียดของท่านแม่ทำเอาเขาจำต้องเก็บคำพูดที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ลงไปแต่โดยดี “ท่านแม่ลูกเข้าใจแล้ว”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว แม่ขอตัวก่อน”
หลังจากที่จังเจาหวาไปแล้ว ต้วนเฉินเซวียนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเอามือจิกผมตัวเองอย่างหัวเสียแล้วเอ่ยว่า “หลิวจือ!”
“อยู่นี่ขอรับ!” เสียงหลิวจือเคลื่อนตัวพรวดออกมา “บ่าวอยู่ตรงประตูด้านนอกตลอด นายท่านมีสิ่งใดจะสั่งการ!”
ต้วนเฉินเซวียนขี้เกียจจะใส่ใจท่าทางขวางหูขวางตาของหลิวจือจึงเอ่ยไปทันทีว่า “ครั้งที่แล้วตาแก่เคยบอกว่ามีตำแหน่งขุนนางให้ข้าใช่หรือไม่ เจ้าลองไปถามดูสิว่าตำแหน่งนั้นได้คนทำแล้วหรือไม่ หากตำแหน่งยังว่าง ข้าจะรับตำแหน่งเอง แต่ถ้าไม่ว่าง ให้รีบหาตำแหน่งอื่นให้ข้าแทนด้วย”
คำพูดของท่านแม่ถือเป็นการเตือนความจำของเขา เพราะในความเป็นจริงหากเขาไม่มีตำแหน่งหน้าที่ด้วยแล้ว ต่อให้เขาเป็นคุณชายก็คงผ่านด่านบิดาของซูเหลียนอวิ้นไม่ได้ หรือจะเป็นตำแหน่งในสังกัดซูปั๋วชวนดี
“ไม่ถูกสิ หลิวจือกลับมา!”
“เอ๊ะ? บ่าวยังอยู่ขอรับ…”
“ช่างเถิด เจ้าบอกไปเลยแล้วกันว่า…ให้ข้าเริ่มทำจากตำแหน่งเล็กๆ โดยให้เขาส่งข้าไปฝึกที่ค่ายทหารในวังก่อน!”
“ได้ขอรับ นายท่าน! บ่าวเข้าใจแล้ว!”
“ไปได้”
“นายท่าน ยังมีคำสั่งที่นอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่ขอรับ” เพราะหากตนไม่เข้าใจความหมายลึกๆ ที่แท้จริงของคำสั่ง ถึงตอนนั้นก็คงเป็นความผิดของเขา!
“ไม่มีแล้ว! ไปสักที”
“ได้ขอรับนายท่าน บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” ช่วงนี้นายท่านอารมณ์แปรปรวนผิดปกติ หลิวจือแอบบ่นในใจ เวลาอารมณ์ดีก็นั่งเหม่อยิ้มอยู่คนเดียว เวลาโมโหก็…? ก็น่ากลัวมากเช่นกัน!
……
ณ จวนตระกูลซู ทันทีที่ซูปั๋วชวนได้รับข่าว เขาก็รีบควบม้ากลับมาโดยไม่ได้หยุดพักกลางทาง
“เพ่ยอิง อวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” ตอนนี้อันเพ่ยอิงกำลังจัดการสวนดอกไม้ของตัวเองอยู่ ดังนั้นเมื่อซูปั๋วชวนมาปรากฏอยู่ตรงหน้านางกระทันเช่นนี้ สำหรับนางแล้วกลับทำให้รู้สึกตกใจมากกว่าดีใจ!
เพราะการปรากฏตัวพรวดออกมาของซูปั๋วชวน ทำให้นางตกใจเสียใจจนเกือบทำกระถางดอกไม้ในในมือของตัวเองหล่นแตก!
“แม่ทัพใหญ่ซู!” อันเพ่ยอิงพยายามขัดขืน “ท่านเอามือของท่านออกก่อนได้หรือไม่ ท่านจับข้าเอาไว้อย่างนี้ ข้าอึดอัด! แล้วจะให้ข้าคุยกับท่านได้อย่างไรเล่า ต่อให้ท่านสอบปากคำนักโทษ ท่านก็ต้องปล่อยตัวเขาก่อนเช่นกันมิใช่หรือ” อันเพ่ยอิงทำน้ำเสียงประชด
เมื่อมาคิดดูแล้วก็จริง ไม่ว่าใครหากโดนคว้าตัวไปกระทันหันแถมยังโดนพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเหมือนสอบปากคำนักโทษเช่นนี้ อารมรณ์คงไม่มีทางดีได้อย่างแน่นอน
“เพ่ยอิง เจ้าอย่าโกรธข้าเลย” ตอนนั้นเองหน้าของซูปั๋วชวนเปลี่ยนเป็นสีแดง “ข้าก็แค่…เฮ้อ! เพ่ยอิง ข้าทำให้เจ้าเจ็บใช่หรือไม่”
“เปล่า” อันเพ่ยอิงกล่าวตอบเสียงห้วนและเย็นชา “ว่ามา จะถามเรื่องอวิ้นเอ๋อร์ใช่หรือไม่”
“อื้มๆๆ พวกเราเข้าไปคุยกันด้านในเถิด” ซูปั๋วชวนดึงตัวอันเพ่ยอิงเดินเข้าไปด้านในห้องอย่างรีบร้อนพลางเอ่ยว่า “ด้านนอกอากาศแห้งเสียขนาดนี้ เพ่ยอิงเจ้ากล้าออกไปได้อย่างไร แถมยังออกไปสัมผัสดอกไม้ใบหญ้าพวกนั้นอีก! หากกลางดึกเจ้าไอจนนอนไม่ได้ทั้งคืนอีกจะทำอย่างไร”
“มิเป็นไรหรอก” อันเพ่ยอิงขึ้นเสียง
“มิเป็นไร?” ซูปั๋วชวนไม่สนใจ เขาหยิบแก้วน้ำขึ้นมาแล้วเทน้ำให้อย่างชำนาญ จากนั้นจึงเอามันยัดใส่ในมือของอันเพ่ยอิงแล้วเอ่ยแข็งๆ ว่า “รีบดื่มเข้า เจ้าต้องดื่มน้ำให้มาก! มิเช่นนั้นแล้วตกดึกเจ้าจะไม่สบายอีก!”
อันเพ่ยอิงมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง แม้ว่าตัวเขาจะเหนื่อยล้าและยังมีกลิ่นดินโชยมาทั้งยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ก็รีบมาหานางที่นี่แล้ว แต่เขายังไม่ทันได้จัดการเรื่องของตัวเองเลยก็เอาแต่เอ่ยปากเรื่องอาการป่วยของนาง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ อันเพ่ยอิงก็รู้สึกว่า หากเวลาหยุดไว้แค่นี้ก็คงดี
เพราะตอนนี้หัวใจของนางพลันเข้าใจว่าความสุขมันมีหน้าตาเป็นเช่นไร
“ท่านพี่” อันเพ่ยอิงยกถ้วยน้ำชาแล้วยืนขึ้น “อวิ้นเอ๋อร์มิเป็นไรหรอก”
“เอ๊ะ? อ้อๆ มิเป็นไรก็ดี มิเป็นไรก็ดีแล้ว” ซูปั๋วชวนเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของอันเพ่ยอิงกระทันหันเช่นนี้ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก นี่มันเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปหรือไม่
“ตอนที่ข้าอยู่ที่ค่ายทหารได้ยินมาว่า มีหนุ่มๆ วางแผนจะเอาตัวอวิ้นเอ๋อร์ของพวกเราไป แถมครั้งนี้ยังมีองค์ชายเยียลี่ว์อะไรนั่นอีกด้วย” ซูปั๋วชวนไม่พอใจจนคิ้วขมวดเป็นปม “เป็นองค์ชายแล้วอย่างไร จะสู่ขออวิ้นเอ๋อร์งั้นหรือ ไม่มีทางเสียหรอก!”
เพราะต่อให้แต่งกับคนในเมืองนี้ แล้วแต่งเข้ามาอยู่ที่บ้านเดียวกัน ซูปั๋วชวนก็ไม่มีทางยินดีอยู่แล้ว
ดังนั้นแต่งไปอยู่เมืองอื่น ไปอยู่ที่เมืองเยียลี่ว์?! นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร! เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมรับปากตกลงอย่างเด็ดขาด!