ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 200 ย่ามใจ
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 200 ย่ามใจ
เรื่องราวต่อจากนี้ก็จะเป็นเรื่องที่มีบทธรรมดาอย่างทั่วๆ ไป
ในวันนั้นที่ซูปั๋วชวนบังเอิญได้เห็นอีกด้านหนึ่งของอันเพ่ยอิง เขาจึงเริ่มเกิดความรู้สึกว่าอันเพ่ยอิงก็เป็นคนที่มีความน่าสนใจมากไม่น้อยเช่นกัน เพราะยิ่งสืบข่าวคราวของนางก็ยิ่งเข้าใจว่าใจของเขาเริ่มรู้สึกสนใจในตัวนางขึ้นมาแล้ว
ทว่าน่าเสียดายที่อันเพ่ยอิงกลับมิได้รู้สึกว่าเรื่องราวในวันนั้นเป็นเรื่องที่ควรค่าน่านึกถึงอะไร นางเพียงรู้สึกว่าตนเองในวันนั้นรู้สึกอับอายมากที่สุดในชีวิต
เพราะจะยังมีเรื่องอะไรที่น่าอายเท่าการถูกคนเห็นตอนที่กำลังห้อยอยู่บนต้นไม้อีกเล่า อีกอย่างหนึ่งใต้ต้นไม้ก็ไม่มีบันไดเสียด้วยแล้วนางจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร คำตอบสำหรับคำถามนี้ถือว่าหาได้ไม่ยากนัก!
ดังนั้นจึงทำให้คนทั้งสองที่เกลียดหน้ากันค่อยๆ เปลี่ยนไป คนผู้หนึ่งมาเป็นประจำ ส่วนคนอีกผู้หนึ่งก็มักจะป่วยเป็นประจำ
ซึ่งซูปั๋วชวนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดอันเพ่ยอิงจึงเอาแต่หลบหน้าเขา หากนางป่วยครั้งสองครั้งยังพอเข้าใจ แต่นี่ทุกครั้งที่เขามาอันเพ่ยจะเกิดป่วยขึ้นมาทุกครั้ง… เขาเองก็มิใช่คนโง่ถึงจะได้มองไม่ออกว่าอันเพ่ยอิงตั้งใจหลบหน้าเขา
ดังนั้นจึงมีอยู่ครั้งหนึ่งที่อันเพ่ยอิงไร้หนหน้าจะหลบหน้าแล้ว และจนมุมจนต้องยอมรับนัดแล้วออกมาสนทนากับซูปั๋วชวน
ส่วนบทสนทนาที่ทั้งคู่ได้คุยกันไปในวันนั้น ตอนนี้อันเพ่ยอิงกล้าพูดได้เลยว่านางลืมไปหมดแล้ว นางจำได้เพียงช่วงที่สำคัญที่สุดเท่านั้น นั่นก็คือตอนที่ซูปั๋วชวนบอกนางว่าไม่อยากให้ตระกูลของเขาและตระกูลซูล้มเลิกงานแต่งงาน เขาหวังว่าภายภาคหน้าจะได้แต่งงานกับอันเพ่ยอิงแล้วได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
อันเพ่ยอิงยื่นมือออกมาแตะหน้าผากของซูปั๋วชวน จากนั้นจึงเอามือกลับมาแตะหน้าผากของตัวเอง
“ท่านมิได้เป็นไข้กระมัง” อันเพ่ยอิงเอ่ยขึ้น
แต่ทำไมกลับพูดคำพูดไร้สาระเช่นนั้นได้เล่า ตอนแรกรังเกียจนางแทบเป็นแทบตายมิใช่หรือ ตอนนี้กลับต้องการจะ…? ทำอะไรกันแน่
“ข้ามิได้ป่วยเสียหน่อย! ” การที่อันเพ่ยอิงยื่นมือออกมาหาเขาทำเอาซูปั๋วชวนเริ่มวางตัวไม่เป็นธรรมชาติ เส้นเลือดดำของบนหน้าผากของเขาปูดจนแทบจะระเบิด “ข้า วันนั้นข้ามีตาแต่หารู้จักภูเขาไท่[1] จู่ๆ ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเป็นคนดี เช่นนั้นเจ้าให้โอกาสข้าอีกสักครั้งดีหรือไม่ พวกเราจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น ข้าคิดว่าหากเจ้าได้รู้จักข้าแล้ว เจ้าเองก็จะต้องชอบข้า” แน่นอนว่า คำพูดเช่นนี้ของซูปั๋วชวนมีเป้าหมายสำคัญคือหวังว่าอันเพ่ยอิงจะเปิดโอกาสให้ตนพูดคุยและทำความรู้จักกับนาง
เพราะการยืมมือผู้อื่นบ่อยๆ เพื่อไปสืบข่าวนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร…ซูปั๋วชวนก็รู้สึกว่าไม่ดีนัก! เขาอยากจะมีโอกาสได้คุยกับอันเพ่ยอิงด้วยตัวเองมากกว่า
อันเพ่ยอิงมองดูหน้าชายที่ทั้งเขินอาย ร้อนใจจนหน้าแดงที่อยู่ตรงหน้าตนผู้นี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าซูปั๋วชวนก็หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อยทีเดียว!
แม้ว่านางจะเห็นว่าซูปั๋วชวนหน้าตาหล่อเหลาตั้งแต่ครั้งแรกๆ แล้วก็ตาม แต่เมื่อมีอารมณ์อื่นเข้ามาร่วมด้วยนางก็รู้สึกว่าตัวเองยิ่งหวั่นไหวมากขึ้น
“ก็ได้” ผ่านไปพักใหญ่ อันเพ่ยอิงก็ยิ้มขึ้นมาอย่างแสนซนจนตาเป็นสระอิ “ลองดูก็ได้”
ถึงอย่างไรการแต่งงานก็เป็นเรื่องที่นางไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว ดังนั้นในตอนแรกนางจึงวางแผนเอาไว้ในใจว่า บางทีนางกับเขาอาจจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างเหม็นขี้หน้าไปจนแก่และปฏิบัติต่อกันอย่างเย็นชาราวกับทหารในกองทัพไปตลอดชีวิต
ผลสุดท้ายกลับคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้อันเพ่ยอิงรู้สึกว่าบางทีพวกเขาทั้งสองอาจจะรู้สึกรักกันขึ้นมาก็ได้
ในเมื่อมีโอกาส…ก็ควรลองดูหน่อยก็ดีเหมือนกันมิใช่หรือ ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ดังนั้นสุดท้ายแล้วคนที่เสียเปรียบก็คงจะไม่ใช่นางกระมัง
……
“หากวันนั้นข้าไม่ให้โอกาสท่านเล่า” อันเพ่ยอิงเท้าเอว “หากเป็นอย่างนั้นพวกเราสองคนตอนนี้ไม่เลิกกันไปตั้งนานแล้วหรือ”
“เพราะตัวข้าในตอนนั้นก็มีผู้ชายมาจีบอยู่หลายคน หากข้าไม่ให้โอกาสท่าน และท่านก็ไม่ได้ชอบข้า สุดท้ายข้าคงจะแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว”
ซูปั๋วชวนยอมแพ้ “ได้ๆๆ ฮูหยินพูดถูกทุกอย่าง! ตอนนี้ฮูหยินก็ยังคงเป็นผู้ที่มีโฉมงามและสดใสอยู่เช่นเดิมเหมือนในตอนนั้นไม่มีผิด” ดังนั้นอย่าพูดเรื่องเลิกรากันอีกเด็ดขาด!
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการล้อกันเล่นก็ตาม อีกอย่างยังเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น! ทว่าเขาก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ดี! แค่คาดเดาก็ไม่ได้!
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าเด็กน้อยนั่นเอายาเสน่ห์อะไรให้เจ้ากิน” ซูปั๋วชวนส่ายหน้า “แต่ในเมื่อฮูหยินยืนกรานเช่นนี้ อย่างนั้นก็…พอถึงเวลาก็ลองถามอวิ้นเอ๋อร์ดูก็แล้วกันว่านางเห็นด้วยหรือไม่! “
อันเพ่ยอิงเอามือลูบปิ่นปักผมตัวเองแล้วเอ่ยว่า “อื้ม ได้ ถึงเวลานั้นท่านก็อย่าก่อเรื่องก็แล้วกันจะได้พูดกันง่ายๆ หน่อย” เนื่องจากทั้งสองเป็นสามีภรรยากันมานานขนาดนี้ ในใจของอันเพ่ยอิงจึงรู้เหตุการณ์ชัดแจ้งราวกับกระจกเงา
คุยกันมาตั้งนานขนาดนี้ยังไม่ยอมรับปาก! อย่างนั้นก็ได้ ไม่รับปากก็อย่ารับ นางเพียงหวังว่าถึงตอนนั้นนางคงจะได้เห็นอวิ้นเอ๋อร์ยินยอมตกลงด้วยปากของตัวเอง โดยที่ไม่มีคนอื่นมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนาง!
……
วังหลวง
ต้วนเฉินเซวียนกอดอกยืนอยู่ข้างหน้าลี่หยวนตี้พร้อมเอ่ยเสียงแข็งขึ้นว่า “นี่ไม่เหมือนอย่างที่กระหม่อมขอไว้ในตอนแรกนี่นา”
“ไม่เหมือนอย่างไร” ลี่หยวนตี้เลิกคิ้วขึ้น “เจ้ามิได้อยากสานสัมพันธ์กับคุณหนูตระกูลซูหรอกหรือ การหมั้นทำให้เจ้าไม่พอใจได้อย่างไร”
“ที่กระหม่อมต้องการคือการหมั้นหรือ! ” ต้วนเฉินเซวียนคลายมือลง “ที่กระหม่อมต้องการคือการแต่งงานต่างหาก”
ด้านนอกห้อง เมื่อหลี่กงกงได้ยินต้วนเฉินเซวียนกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้สนทนากับลี่หยวนตี้ เขาก็เริ่มตกใจจนตัวสั่น เพราะในแผ่นดินต้าชั่วนี้ มีผู้ใดกันที่กล้าดีไม่ระวังตัวเองเช่นนี้
ต่อให้เป็นบรรดาองค์หญิงองค์ชายเอง เวลาที่ต้องเข้าเฝ้าลี่หยวนตี้ต่างก็ระมัดระวังตัวกันทั้งนั้น การพูดออกไปเพียงประโยคเดียวก็ทำเอาพวกเขาหวาดระแวงไปพักใหญ่แล้ว!
“นี่พระองค์ทรงแก่เกินไปแล้วหรือ หูตาจึงใช้งานได้ไม่ค่อยดีแล้ว นี่กำลังเล่นอะไรกันอยู่” ต้วนเฉินเซวียนไม่พอใจอย่างมาก!
เพราะเขากำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แท้ๆ พอมาหาลี่หยวนตี้ที่นี่กลับทำสถานการณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงแบบหักมุมไปอีกทาง จากแต่งงานกลายเป็นหมั้นหมายไปเสียเฉยๆ !
แม้ว่านี่จะต่างกันเพียงคำเดียวแต่ความหมายนั้นแตกต่างกันไกลนัก! เพราะแม้ว่าจะหมั้นกันแล้ว แต่ก็สามารถถอนหมั้นกันได้ทุกเมื่อเช่นกัน!
เพราะทีท่าของตระกูลซูนั้น ไม่มีผู้ใดเข้าใจไปมากกว่าเขาอีกแล้ว!
หากไม่สู่ขอซูเหลียนอวิ้นและหมั้นหมายเอาไว้อย่างเดียวล่ะก็ โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมีมากจนมิอาจประเมินได้!
“เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว! ” ลี่หยวนตี้ขมวดคิ้วพร้อมตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ไม่มีอารมณ์โกรธ “เจ้าคิดว่าการขอแต่งงานจะทำกันได้ง่ายๆ งั้นรึ คนที่เจ้าอยากแต่งงานด้วยคือลูกสาวของซูปั๋วชวน นางเป็นคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียว! หากบอกว่าจะขอแต่งงาน เจ้าไม่กลัวว่านี่จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น จนสุดท้ายไก่ก็หนี ไข่ก็แตกและไม่เหลืออะไรเลยหรือ! “
ต้วนเฉินเซวียน “…”
เอาล่ะ ความหมายในคำพูดนี้เขาเข้าใจ แต่เขาก็อยากที่จะลองพนันดูสักตั้งอยู่ดี หากอยู่ดีๆ …ตระกูลซูเกิดหัวร้อนยอมตกลงให้ซูเหลียนอวิ้นแต่งงานกับเขาขึ้นมาเล่า แม้ว่าสถานการณ์อีกด้านหนึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นอย่างที่ลี่หยวนตี้ได้ตรัสเอาไว้ไม่มีผิดก็ตาม
แหวกหญ้าให้งูตื่น ไก่ก็หนีไข่ก็แตก! นี่ทำให้เขารู้สึกว่าตนกำลังตีเหล็กเมื่อแดงกินแกงเมื่อร้อนอยู่
ทว่าตั้งแต่โบราณกาลมา มีคำกล่าวว่าหากอยากจะรวยก็ต้องกล้าเสี่ยง!
ดังนั้น…เอาล่ะ!
——
[1] ตาแต่หารู้จักภูเขาไท่ มีของดีอยู่ตรงหน้าแต่กลับมองไม่เห็น