ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 203 จริงจัง
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 203 จริงจัง
“สรุปแล้วคนที่ท่านแม่เลือกคือ…?” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยถามพลางกลืนน้ำลาย นางรู้สึกว่าเรื่องนี้…จะต้องมีกับดักอะไรบางอย่าง!
“คนที่แม่เลือกคือต้วนเฉินเซวียน หนุ่มน้อยจากจวนจิ้งอันโหว”
ซูเหลียนอวิ้น “…?”
จริงอย่างที่คิดไว้เลย! แต่ทำไมต้องเป็นต้วนเฉินเซวียนด้วยเล่า แม้ว่าจะรู้สึกว่ามันเป็นแนวโน้มที่เป็นไปได้ก็ตาม
“อวิ้นเอ๋อร์เจ้าฟังแม่พูดก่อน!” เมื่ออันเพ่ยอิงเห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นหนักอึ้งไม่พูดไม่จาก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ของอวิ้นเอ๋อร์ว่าเข้าใจผิดและเป็นเอามากกว่าที่ตนคิดเอาไว้!
“อันที่จริงทางฝั่งของจวนจิ้งอันโหวเริ่มมีความคิดนี้มาตั้งนานแล้ว เพียงแค่ไม่มีใครพูดเรื่องนี้กับเจ้าก็เท่านั้น แต่พอถึงตอนนี้คนเราต้องเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี แม้ว่านี่อาจจะเป็นการหมั้นแบบปลอมๆ แต่ก็คงไม่มีผู้ใดอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายนี้ เพราะถึงอย่างไรการตัดเรื่องวุ่นวายออกไปจากชีวิตได้ก็ดีกว่ามีเพิ่ม ดังนั้นนะอวิ้นเอ๋อร์…”
“ท่านแม่ ลูกเข้าใจแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจยาวแล้วเอ่ยขัดคำพูดของอันเพ่ยอิง “ลูกรู้ว่าท่านแม่หมายความว่าอย่างไร แต่เรื่องนี้ลูกขอคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจได้หรือไม่” เพราะหากเอ่ยว่าเรื่องนี้ต้วนเฉินเซวียนไม่ได้ข้องเกี่ยวด้วย จะเชื่อได้หรือ
ดังนั้นตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า การกระทำในหลายวันที่ผ่านมาของต้วนเฉินเซวียนนั้น เขาเอาจริง เขาไม่ได้เข้ามาพัวพันนางเพียงเพราะเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับเมื่อชาติที่แล้วเท่านั้น แต่ทั้งหมดเพียงเพราะว่าเขาคิดจะเอาจริง เขาก็เริ่มลงมือจริงจังทันที
“ดี” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นแล้วเอ่ยรับด้วยสีหน้าลำบากใจ “อวิ้นเอ๋อร์ หากเจ้าไม่เต็มใจ พวกเราหาทางอื่นกันก็ได้” เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นลูกสาวข้า ไม่ว่าคนนอกบ้านจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีทางสำคัญสู้เจ้าได้
“ท่านแม่เจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นฝืนยิ้มออกมาเพื่อพยายามปลอบใจอันเพ่ยอิง แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ รอยยิ้มของนางในตอนนี้ดูไม่ได้เสียยิ่งกว่าตอนที่นางร้องไห้อีก
“ลูกมิได้ไม่เต็มใจ เพียงแต่…ลูกแค่ตกใจมากไปหน่อยก็เท่านั้น! ดังนั้นลูกขออยู่เงียบๆ คนเดียวสักประเดี๋ยว ลูกจะได้พิจารณาเรื่องราวต่างๆ ที่ลูกรับรู้ในวันนี้ เมื่อลูกตัดสินใจได้แล้ว ลูกจะไปบอกท่านแม่เองเจ้าค่ะ” ไม่ใช่ว่านางไม่เต็มใจ แต่เกรงว่านางจะไม่มีทางอื่น
เส้นสายของต้วนเฉินเซวียนนั้นแผ่วงกว้าง บางทีอาจจะแผ่ออกไปกว้างกว่าที่พวกเขาจินตนาการ ดังนั้นนางเกรงว่านางอาจจะหลบได้เพียงครั้งแรก แต่คงหลบครั้งต่อไปไม่พ้น
หากนางปล่อยให้ตัวเองไม่สนใจความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วหลบหนีไปตลอดนั้น คงจะมีสักวันที่นางจะไม่สามารถหลบอยู่บนเส้นทางสายนั้นได้อีก อีกอย่างวันๆ นั้นก็คงจะมาถึงในอีกไม่ช้าก็เร็วนี้
ทว่าหากคิดอีกด้านหนึ่ง อันที่จริงแล้วการคิดล่วงหน้าไว้ก่อนก็มีข้อดีเช่นกัน หากเริ่มเคลื่อนไหวก่อน อำนาจก็อาจจะอยู่ในมือของฝ่ายเราได้
“อวิ้นเอ๋อร์…” อันเพ่ยอิงอ้ำอึ้งอยู่นานแต่กลับคิดคำพูดต่อจากนี้ไม่ออกอีก
นั่นเป็นเพราะนางคิดว่า ภายในใจของซูเหลียนอวิ้นจะต้องมีบางซอกมุมที่มีหินหนักอึ้งลอยอยู่ นางเป็นกังวลมาตลอดว่าหินก้อนนี้จะตกลงสู่พื้นวันใด แล้วผู้ใดกันที่จะเป็นคนที่ยืนอยู่ใต้หินก้อนนั้นแล้วโดนก้อนกินตกใส่โดยที่ยังมีความสงสัยไม่หาย
“ท่านแม่ หากลูกตัดสินใจได้แล้วจะรีบบอกเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่าตนเองกำลังจะเขวี้ยงขวดที่แตกอยู่แล้วให้แตกซ้ำอีก เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรผลสุดท้ายก็คงเหมือนกัน เช่นนั้นนางก็ควรสงบจิตสงบใจแล้วรีบยอมรับความจริงให้ได้โดยเร็ว! หากมัวแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ก็คงแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้!
“ก็ได้ เช่นนั้นแม่ขอตัวกลับก่อน” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นแล้วเดินหนึ่งก้าวพลางหันกลับไปมองสามก้าว “อวิ้นเอ๋อร์ เจ้ามิต้องคิดมาก เจ้าอยากทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของเจ้า ดังนั้นให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเอง”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “ลูกทราบแล้ว” นางเข้าใจแล้ว แต่ความเข้าใจกับการยอมรับนั้นถือเป็นคนละเรื่อง!
“คุณหนู….” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่บนเก้าอี้นานจนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว สุดท้ายหลีมู่ก็เริ่มทนไม่ได้จึงค่อยๆ เปิดประตูแล้วเดินเข้ามา “คุณหนู อยากดื่มน้ำสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าไม่หิว” ซูเหลียนอวิ้นปฏิเสธ
“อย่างนั้นคุณหนูอยากได้…”
“ตอนนี้ข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ข้า…” อารมณ์ของซูเหลียนอวิ้นกำลังพุ่งพล่าน แต่นางก็รู้ดีว่ามิอาจทำให้ผู้อื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยเพราะเรื่องเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้วคงจะไม่เป็นธรรมกับหลีมู่เท่าไหร่นัก?
พวกนางแสดงออกเช่นนี้เพียงเพราะต้องการปลอบใจและพูดคุยกับนางเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นใดแฝง
“หลีมู่ ข้าอยากออกไปข้างนอกสักเดี๋ยว” ซูเหลียนอวิ้นเอนตัวพิงโต๊ะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยาก “ข้าขอออกไปเดินเล่นข้างนอกสักปะเดี๋ยวและจะรีบกลับมาเร็วที่สุด!”
“เจ้าค่ะ” หลีมู่ตอบตกลงทันทีอย่างผิดธรรมดา “คุณหนูจำเอาไว้ว่าต้องรีบกลับมาก็พอแล้ว ก่อนอาหารค่ำคุณหนูต้องกลับมาถึงแล้วนะเจ้าคะ แค่นี้คุณหนูทำได้หรือไม่”
“ได้สิ” ซูเหลียนอวิ้นแปลกใจจนนั่งตัวแข็งทื่อพลางพยักหน้า เพราะครั้งนี้หลีมู่ยอมให้นางออกไปข้างนอกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ นี่มัน…เรื่องดีๆ เข้ามาหานางกระทันหันเกินไปแล้ว! อย่างที่เขาว่ากันไว้เลยว่าเรื่องสุขและทุกข์มักจะอยู่คู่กันเสมอ!
“แล้วคุณหนูก็อย่าลืมพาพวกหลานเย่ว์ไปเป็นเพื่อนด้วยสักคนนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นแล้วบ่าวคงอดห่วงไม่ได้” อันที่จริงเมื่อหลีมู่หลุดปากพูดออกไปเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมากะทันหัน! เหตุใดเพียงตนเห็นคุณหนูคอตกเช่นนี้ก็ยอมตบปากรับคำให้นางออกไปข้างนอกได้แล้ว?
เรื่องนี้คุณหนูของตนคงสังเกตได้แล้ว วันข้างหน้าหากคุณหนูใช้ลูกไม้เดิมกับตนอีกจะทำอย่างไร หากอยากจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกก็เพียงทำหน้าตาน่าสงสารให้มากๆ นี่ถือเป็นเรื่องที่ เรื่องที่….แย่จริง!
ทว่าครั้งหน้าคงทำอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว หลีมู่ทอดถอนใจ เพราะหลังจากที่นางตอบตกลงออกไปซูเหลียนอวิ้นก็มีท่าทางราวกับว่ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นั่นจึงทำให้ไม่ว่าจะอย่างไรหลีมู่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ลง
ดังนั้นครั้งนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น…จะมีเพียงครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
“อือๆ ได้ เดี๋ยวข้าจะเรียกหลานเย่ว์ไปด้วย” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้นพลางหันตัวเพื่อมุ่งไปหาหลานเย่ว์ ท่าทางของนางตอนนี้เบิกบานอย่างถึงที่สุด ทำให้ท่าทางหงอยเหงา หมดอะไรตายอยากของซูเหลียนอวิ้นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ภาพในความฝัน!
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นเป็นคนที่อแสดงอารมณ์เสียใจออกมาง่าย ส่วนความสามารถที่จะกลับมามาร่าเริงสดใสได้เหมือนเดิมนั้นถือว่าไวยิ่งกว่า!
“หลานเย่ว์ หลานเย่ว์!” ซูเหลียนอวิ้นยืนกวักมืออยู่ไม่ไกลจากบริเวณห้องพักของพวกหลานเย่ว์ “หลาเย่ว์ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าหน่อย”
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ คุณหนูใหญ่?” หลานเย่ว์รีบพุ่งตัวออกมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าซูเหลียนอวิ้น “คุณหนูใหญ่มีเรื่องใดจะสั่งการบ่าวหรือขอรับ” ช่วงนี้พวกเขาว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ดังนั้นจึงไม่ง่ายนักกว่าที่พวกเขาจะมีเรื่องอะไรทำ
“ประมาณนั้น…” ซูเหลียนอวิ้นพูดตะกุกตะกัก “ข้าอยากให้เจ้าพาข้าไปที่ที่หนึ่งที่เจ้าเคยไปมาก่อนแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ข้าจะไม่พาคนอื่นไปด้วยแล้ว แค่เจ้าคนเดียวก็พอ ไปเป็นเพื่อนข้าอีกสักครั้งเถิด ในเมื่อเจ้าเคยไปมารอบหนึ่งแล้วตอนนี้ก็คงจำเส้นทางได้อยู่กระมัง” นางอยากจะไปพบอาจารย์อีกสักครั้ง! เพราะนางเองก็ไม่ได้ไปเยี่ยมหรงซู่มานานแล้ว…จะได้ถือโอกาสนี้ให้หรงซู่ช่วยชี้แนะนางว่านางควรจะทำอย่างไรต่อไปดี!