ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 210 ยาหยกหิมะ
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 210 ยาหยกหิมะ
“อ้อ” เมื่อครู่นี้สมองของซูเหลียนอวิ้นคงถูกกระแทกจนเลอะเลือนไปเสียแล้ว นางจึงเอ่ยออกไปอย่างมึนงงว่า “ท่านจะทิ้งข้าหรือ ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยข้าไว้ตรงนี้เถิด ได้ยินมาว่าแถวนี้หมาป่าเยอะมาก ดังนั้นท่านจะปล่อยข้าไว้ตรงนี้เพื่อเป็นอาหารพวกมันงั้นหรือ” หากเป็นซูเหลียนอวิ้นตอนที่มีสติดีแล้วถูกต้วนเฉินเซวียนโอบเอาไว้เช่นนี้ นางคงจะตื่นเต้นมากจนไม่กล้าเอ่ยวาจาเย้าแหย่ต้วนเฉินเซวียนเช่นนี้ ดังนั้นนี่จึงแสดงว่าตอนนี้นางหัวกระแทกจนเลอะเลือนไปแล้ว!
ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจลึกยาว พยายามที่จะระงับโทสะของตัวเองให้น้อยลงแล้วเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งพูดอะไรได้ไหม เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือว่าการพูดมันส่งผลกระทบถึงแผลของเจ้าด้วย”
“อืม” ซูเหลียนอวิ้นหลับตาลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด จู่ๆ นางถึงเริ่มง่วงขึ้นมา ดังนั้นนางจึงพลาดโอกาสที่จะได้เห็นท่าทางของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ ท่าทางของเขาที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายผสมปนเปไปด้วยความรู้สึกผิด
“นี่ ซูเหลียนอวิ้น เจ้าอย่าหลับเชียวนะ! ” ต้วนเฉินเซวียนร้อนใจพร้อมกับรีบเร่งฝีเท้าของตัวเอง “ข้าจะเป็นเพื่อนคุยกับเจ้าเอง เจ้าห้ามหลับอย่างเด็ดขาด! ” นั่นเป็นเพราะบาดแผลของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไม่กล้าที่จะพานางกลับไปด้วยการขี้ม้า
นั่นเป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนบนหลังม้าอาจจะทำให้อาการยิ่งแย่ลงและนั่นจะทำให้เกิดความวุ่นววายกันมากยิ่งขึ้น
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้วนเฉินเซวียนมาล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกว่า การเดินทางกลับในครั้งนี้ยาวนานอย่างยิ่งจนคล้ายไม่มองเห็นปลายทางเลยเสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ…? ” ซูเหลียนอวิ้นพยายามที่จะลืมตาขึ้น นางยิ้ม ริมฝีปากของนางยังคงน่ามองเช่นเคย “ต้วนเฉินเซวียน นี่ใช่ท่าหรือไม่”
“เป็นข้าเอง” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ย “ข้ากำลังอุ้มเจ้าไว้ ดังนั้นเจ้าห้ามหลับ ตื่นขึ้นมา พวกเรามาคุยกันหน่อยก็ได้” ห้ามหลับอย่างเด็ดขาด! ต้วนเฉินเซวียนแอบตะโกนในใจ นั่นเป็นเพราะ…เขาเองก็กลัวเหมือนกัน
“ฮ่าๆ …” ซูเหลียนอวิ้นยกมือเช็ดเลือดที่จวนจะไหลเข้าตานางเต็มที “ข้ากลัวว่านี่จะเป็นความฝัน คนอย่างต้วนเฉินเซวียนจะอุ้มข้าได้อย่างไรเล่า? ดังนั้น…ข้า ข้าง่วงมากจริงๆ “
เมื่อครู่นี้ที่ซูเหลียนอวิ้นลืมตาขึ้นโดยฝืนตัวเองเต็มที่ เพราะคำพูดกวนประสาทเหล่านั้น แม้ว่าตอนนั้นนางจะไม่รู้สึกอะไร ทว่าตอนนี้…เมื่อร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้นมา นางก็เข้าใจเรื่องราวในตอนนั้นอย่างทะลุปรุโปร่ง
“อวิ้นเอ๋อร์! ” อันเพ่ยอิงร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะแม้ว่าหน้าของซูเหลียนอวิ้นจะยังคงซุกอยู่ในอกของต้วนเฉินเซวียน ทว่าอาภารณ์ที่คุ้นตาเหล่านั้นได้แสดงถึงฐานะของคนผู้นั้นแล้วว่าเป็นผู้ใด “อวิ้นเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป! ” ตอนนี้เกาอู่เตี๋ยกำลังนั่งอยู่กับอันเพ่ยอิง ดังนั้นเมื่อได้ยินอันเพ่ยอิงตะโกนออกไปแบบนั้น เกาอู่เตี๋ยจึงเบนสายตามองตามไปยังทิศนั้นด้วย
“เสด็จอา” ตอนนี้เสียงของต้วนเฉินเซวียนยังคงสั่นเครือ “หมอหลวงอยู่ที่ใด รีบตามพวกเข้าออกมาให้หมด”
“หมอหลวง หมอหลวง! ” นางกำนัลรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังฮองเฮาอย่างซิ่งหยวนในเวลานี้ยังคงควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้อย่าดีเช่นเคย นางรีบตั้งกระโจมแล้วเรียกให้ต้วนเฉินเซวียนรีบอุ้มเข้าไปไว้ข้างใน
“ต้วนเฉินเซวียน!” หลังจากเวลาผ่านไป[1]หนึ่งถ้วยน้ำชา ซูปั๋วชวนและซูมั่วเยี่ยก็รีบวิ่งเข้ามา
ซูมั่วเยี่ยเปิดม่านออก ภาพแรกที่เขาเห็นก็คือใบหน้าซีดเผือดของซูเหลียนอวิ้นที่นอนอยู่บนเตียงที่ปูไว้อย่าง่ายๆ ด้วยเหตุนี้การควบคุมอารมณ์ของเขาที่ถูกฝึกฝนมาจึงถูกโยนทิ้งเอาไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงใช้ทั้งสองมือของตนกระชากคอเสื้อของต้วนเฉินเซวียนเข้ามาแล้วชกไปที่หน้าหนึ่งหมัด
ต้วนเฉินเซวียนใช้ปลายลิ้นแตะเบาๆ ไปยังบริเวณที่โดนต่อยเมื่อครู่ เขาสะบัดศีรษะ แต่ที่ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจคือ เขาเพียงเลือกที่จะเอ่ยออกมาอย่างสงบนิ่งว่า “หมัดเมื่อครู่นี้ เดี๋ยวเราค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้หมอหลวงอย่ามัวแต่มองพวกเราอยู่ คนเจ็บในมือของท่านตอนนี้รักษาหายแล้วหรือ”
“ฮะ อ้อๆ จะรักษาเดี๋ยวนี้!” หมอหลวงได้สติกลับมา เนื่องจากฉากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เกิดขึ้นกระทันหันมากเกินไป ดังนั้นหากเขาไม่ระวัง นั่นคงจะเกิดเรื่องยุ่งยากแน่!
“หน้าผากเป็นบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด ทว่าเมื่อครู่นี้ข้าได้จัดการบริเวณปากแผลเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นแผลส่วนที่เหลือ…” เมื่อหมอหลวงเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไป “อาจจะยังมีรอยแผลที่ยังต้องทำความสะอาดเหลืออยู่กระมัง” ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ถือว่าเป็นผู้ชาย แม้ว่าจะต้องมีจรรยาบรรณแพทย์และไม่หวังผลประโยชน์อื่นแอบแฝง แต่คนนอกจะพูดกันว่ากันอย่างไร นั่นคงจะคาดเดายาก เพราะไม่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่ยังไม่ผ่านการแต่งงาน หากให้เขาเป็นผู้ใส่ยาให้คงจะเป็นภาพที่ไม่น่าดูอย่างแน่นอน
“ข้าเอง” อันเพ่ยอิงที่ยืนเงียบไม่เอ่ยวาจาอยู่ด้านข้างก็กล่าวขึ้นอย่างเรียบๆ “หมอหลวง ท่านมียาที่เตรียมเอาไว้หรือยัง ส่งมาให้ข้าเถิด เดี๋ยวข้าจะใส่ยาให้ลูกสาวของข้าเอง”
“มีๆๆ” หมอหลวงพลิกกล่องที่อยู่ด้านข้างของตัวเองแล้วหยิบขวดกระเบื้องสีขาวออกมาแล้วรีบเร่งส่งให้นาง “วันหนึ่งทาเพียงสามรอบก็พอแล้ว ไม่เกินห้าวัน หากคอยล้างแผลอยู่ตลอดก็จะหายดี”
“หมอหลวง…” ซูมั่วเยี่ยคล้ายนึกบางสิ่งออกจึงเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “หมอหลวง…แผลของน้องสาวข้า…ต่อไปจะเป็นแผลเป็นหรือไม่”
อันเพ่ยอิงตัวแข็งทื่อเหมือนด้ามพู่กัน นางคิดถึงปัญหานี้แต่แรกแล้วแต่ด้วยความกดดันภายในใจของนางที่นางกลัวว่าตัวเองจะได้ยินในคำตอบที่ตัวเองไม่อยากได้ยิน นางจึงพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ครุ่นคิดถึงปัญหานี้
“เรื่องนี้…” สายตาของหมอหลวงมองคนทั้งสามด้วยความลังเลแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “เรื่องนี้ หากรักษาดีๆ ระวังเรื่องอาหารการกินดีแล้ว…คงจะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น”
ทุกคนในที่นั้นล้วนฟังความลังเลที่อยู่ในน้ำเสียงของหมอหลวงออก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกราวกับว่าหัวใจของพวกเขาจมดิ่งลงสู่น้ำอันเย็นเฉียบ คงจะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น เช่นนั้นก็คงจะ…มีโอกาสเป็นแผลเป็นถึงแปดส่วน?
เพราะคำพูดเช่นนี้ของหมอหลวง ฟังเพียงครึ่งเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะหากสามารถยืนยันได้แน่นอน เช่นนั้นเหตุใดจะต้องหลบสายตาและมีท่าทีลังเลเช่นนี้ด้วย
“เช่นนั้นหากใช้ยาหยกหิมะทาแผลทุกวันเล่า” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยปากอย่างเย็นชา “หากใช้ยาหยกหิมะทาทุกวัน จะยังมีโอกาสเป็นแผลเป็นอีกหรือไม่”
“ยาหยกหิมะ?” หมอหลวงเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “หากมียาหยกหิมะ เช่นนั้นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากได้ทาทุกวัน เพราะการทาทุกวันเมื่อทานานวันจนเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วจะต้องไม่มีรอยแผลเป็นเหลือทิ้งไว้อย่างแน่นอน”
ยาหยกหิมะ! หมอหลวงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองต้วนเฉินเซวียน ไม่เสียแรงที่เป็นคนจากจวนจิ้งอันโหว ยาหยกหิมะเป็นตำหรับยาขั้นเทพที่สืบทอดมาจากราชวงศ์ก่อนเชียวนะ หากใช้ยาตัวนี้บำรุงผิวเป็นปกติทุกวันแล้วจะช่วยปกป้องผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื่นตลอดไป หากได้รับบาดเจ็บแล้วใช้มันเป็นยารักษา นี่ก็ถือเป็นยาเทพที่ใช้รักษาแผลเป็นได้สมบูรณ์แบบที่สุด
ทว่ายาตัวนี้…เนื่องจากเป็นของที่ราชวงศ์ก่อนทิ้งไว้ ดังนั้นตำหรับการปรุงยาคงจะสูญหายไปนานแล้ว แต่หากมีวางขายตามท้องตลาดจริง ตอนนี้ราคาก็คงจะสูงมากจนมีเงินเป็นพันตำลึงก็ไม่อาจใช้แลกมาได้
ทว่าต้วนเฉินเซวียนกลับเอ่ยปากว่าจะใช้มันทาผิวทุกวัน? เช่นนั้นจะต้องมียาหยกหิมะสักกี่ขวดกันเล่า! เขาคง…เป็นพวกเงินหนาเป็นแน่แท้
——
[1] เวลาหนึ่งถ้วยน้ำชาคือเวลาประมาณ 10 นาที