ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 214 ฝนตก
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 214 ฝนตก
ไม่รู้ว่าผ่านไปเป็นเวลานานเท่าไหร่ ขณะที่หูและจิตใจของซูเหลียนอวิ้นเริ่มจะรับไม่ไหวนั้น ในที่สุดประตูบานนั้นก็ค่อยๆ แง้มเปิดออก
หรงซู่ประคองไหล่ของต้วนเฉินเซวียนเอาไว้แล้วเดินออกมาอย่างช้าๆ จากตรงนี้สามารถมองเห็นได้ว่าผิวทั่วร่างของเขาปราศจากโลหิตหล่อเลี้ยงจึงซีดเผือดผิดปกติ ริมฝีปากของเขาก็ไม่ได้มีสีแดงระเรื่อเหมือนอย่างปกติอีกแล้ว
“ศิษย์น้อง” หรงซู่วางต้วนเฉินเซวียนวางไว้บนเตียงเพื่อให้เขาได้พักผ่อน “นี่เพิ่งจะเริ่มต้นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระบวนหลังจากนี้ยังไม่จบ เจ้ายังอยากจะไปต่อหรือไม่”
“ไม่มีอะไรหนักหนานี่” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นพลางจิกกลางฝ่ามือเอาไว้จนเป็นแผลเหวอะ นิ้วของเขาถูกกำเอาไว้จนข้อต่อกลายเป็นสีขาวซีด “พักผ่อนสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น รออีกเพียงอึดใจเดียวก็คงสำเร็จกระมัง”
หรงซู่ถอนใจเงียบๆ ไร้วาจา เพราะเมื่อครู่นี้ตอนที่เขาพาต้วนเฉินเซวียนเข้าไปในบ้าน วิชาที่เขาใช้คือวิชาปลดวิญญาณ
ทุกสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณและดวงจิต หากจิตวิญญาณหลุดออกจากร่าง โคมประทีปของชีวิตซึ่งเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณมอดดับ ทุกสรรพสิ่งก็จะเหลือทิ้งไว้เพียงวิญญาณเท่านั้น
ทว่าวิชาปลดวิญญาณนั้นจะต้องดำเนินการตอนที่ยังมีสติอยู่เท่านั้น เพราะหากคนผู้นั้นเสียชีวิต จิตวิญญาณก็จะดับสูญไป ดังนั้นเขาจะต้องไรับรู้ความเจ็บปวดทุกอย่างเต็มที่และแจ่มชัด
ความเจ็บปวดนั้นเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความเจ็บปวดจากการโดนเลาะกระดูกออกมาทั้งยังเป็นๆ อยู่เป็นพันๆ เท่า เพราะกระดูกยังสามารถงอกออกมาใหม่ได้ แต่หากเป็นจิตวิญญาณแล้วล่ะก็…จะงอกออกมาใหม่ได้อย่างไร
เมื่อพักผ่อนไปครู่หนึ่งสีหน้าของต้วนเฉินเซวียนก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องอ้าปากพะงาบตลอดเวลาที่หายใจจนทำให้ทุกคนต่างกังวลว่าลมหายใจถัดไปเขาจะยังมีแรงหายใจต่อหรือไม่
ต้วนเฉินเซวียนเงยหน้ายิ้มให้หรงซู่ เขาระลึกถึงความหลังแล้วเอ่ยว่า “เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกเราพบกันครั้งแรก นางได้ปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งโดยที่ข้าไม่รู้
“เวลาห้าปีทำให้ต้นไม้ต้นนั้นกลายเป็นต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าโดยไม่รู้ตัว การที่ต้นไม้จะโตขึ้นได้นั่นย่อมต้องเป็นเพราะนางรดน้ำให้มัน แต่วันนี้นางไม่อยู่แล้ว ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นจะต้องตายแน่ๆ” ในห้าปีที่ผ่านมานี้ซูเหลียนอวิ้นได้ใช้วิธีการทุกอย่างหรือแม้กระทั่งใช้เลือดสดๆ ของตัวเองลดให้ต้นไม้ในดวงใจต้นนี้ของเขา
ดังนั้นต้นไม้ต้นนี้จึงเข้าไปอยู่ในจิตใจ ในสายโลหิตอย่างมิอาจถอนออกมาได้ เมื่อมันได้หลอมเป็นส่วนเดียวกันอยู่ในเส้นเลือด แต่วันนี้กลับจากไป เช่นนั้นแล้วเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเล่า
“เฉินเซวียน ข้าเพิ่งนึกอีกวิธีหนึ่งออก” หรงซู่เงยหน้าพรวดขึ้นมา ดวงตาของเขาเกิดประกายวิบไหว “พวกเจ้าไปเจอกันในชาติหน้าดีหรือไม่ เจ้าจะได้ไม่ต้องทนกับความเจ็บปวดอย่างเมื่อครู่นี้อีก” ไม่ว่าจะอย่างไรต้วนเฉินเซวียนก็เป็นคนที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับเขาตั้งแต่ยังเล็ก
แม้ว่าทุกครั้งที่พบหน้ากันพวกเขาต่างจะต้องสู้กันหรือไม่ก็เถียงกันสักยก แต่นี่ก็สามารถอธิบายได้ว่า ความสัมพันธ์ของเขาดีมากมิใช่หรือ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นต้วนเฉินเซวียนในสภาพเช่นนี้ หรงซู่ก็อดที่จะรู้สึกสงสารเขาไม่ได้
“แต่ผลที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่แตกต่างกัน” หรงซู่ส่ายหน้า “ผลสุดท้าย…เฉินเซวียนอย่างไรเจ้าก็ต้อง…ตายอยู่ดี แต่วิธีการแค่ไม่เหมือนกัน ตอนนี้เจ้าจะได้สบายใจไปก่อนไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้”
ต้วนเฉินเซวียนฝืนตัวเองลุกขึ้นและมองไปที่หรงซู่ด้วยความสงสัย สีหน้าของเขาแสดงถึงความข้องใจ
“นั่นเป็นเพราะว่าจู่ๆ ข้าก็ค้นพบว่าที่นี่มีของบางอย่างที่น่าสนใจ บางทีของสิ่งนี้ ฮ่าๆ….” เมื่อสิ้นเสียง หรงซู่จึงยื่นมือเข้ามาเพื่อจะจับซูเหลียนอวิ้นไว้
“กรี๊ดดด!”
“ตื่นแล้วหรืออวิ้นเอ๋อร์” หรงซู่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกด้วยท่าทางสบายใจเช่นเดียวกับตอนก่อนที่ซูเหลียนอวิ้นจะหลับไป เขาเหลือบตามองซูเหลียนอวิ้น “ฝันเห็นอะไรรึถึงได้ร้องเสียงดังขนาดนี้”
ซูเหลียนอวิ้นยังคงขวัญเสียไม่หาย นางถอนหายใจยาวๆ อยู่หลายครั้ง เมื่อสงบลมหายใจของตนได้แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเห็นมือหยาบๆ ของท่านอาจารย์พุ่งเข้ามาหาข้า”
หรงซู่กระพริบตาแล้วกระพริบตาอีก จากนั้นจึงวางถ้วยชาในมือลงแล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์คำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้น่าสงสัยยิ่ง!”
“ท่าน อย่ามา อำ!” ซูเหลียนอวิ้นใส่รองเท้าเรียบร้อยแล้วพุ่งตัวออกไปหยุดอยู่ตรงหน้าหรงซู่แล้วผลักเขาไปเต็มแรง “ท่านอาจารย์ ท่าน ท่าน ท่าน! ข้าไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง! ตอนนั้นท่านเป็นคนจะคว้าตัวข้าเอาไว้!”
“ก็ใช่” หรงซู่ผายมือแสดงการยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าเองก็คงไม่อยากเห็นต้วนเฉินเซวียนทรมานแบบนั้นหรอกกระมัง ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงบังเอิญรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวบางอย่าง จากนั้นจึงลองสังเกตดูรอบๆ พอเงยหน้าขึ้นไปจึงมองเห็นเจ้าพอดี
“แต่ตอนนั้นกลับไม่ได้คิด…ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว ตอนนั้นอารมณ์ของอวิ้นเอ๋อร์คงสั่นไหวมากทีเดียวกระมัง มิเช่นนั้นอาจารย์คงรับรู้ไม่ได้ อีกอย่างเจ้าวางใจได้เลย ในฝันนั้นอาจารย์แค่ดึงวิญญาณของเจ้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดึงไปเพียงเล็กน้อยไม่มีปัญหาอะไรน่าเป็นห่วง”
ไม่มีอะไร น่าเป็นห่วง!
“เชื่อก็ได้” น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นยังคงแข็งกระด้างเหมือนเดิม เพราะหรงซู่ได้พูดถึงเรื่องสำคัญของนางเข้าแล้ว!
คำพูดในฝันประโยคนั้นของต้วนเฉินเซวียน…ที่บอกว่าไม่ได้หวั่นไหวอะไรกับนาง? เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่….นางต้องใจเย็นให้ได้กว่านี้!
“ดังนั้นจิตด้านอธรรมของเจ้าคงถูกเปิดออกแล้วกระมัง” หรงซู่เอามือของเขาจัดทรงผมของซูเหลียนอวิ้นที่ยุ่งเหยิงจากเมื่อครู่นี้ “สถานการณ์ของเจ้าในตอนนั้นมีสาเหตุมาจากต้วนเฉินเซวียน” แต่หากไม่มีตัวเขา เจ้าก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เช่นกัน
ซูเหลียนอวิ้นปัดมือของหรงซู่แล้วเอ่ยด้วยความหม่นหมอง “ข้ารู้แล้ว”
โดยปกติแล้วนางเกลียดการติดค้างน้ำใจเป็นที่สุด! เพราะหนี้น้ำใจเป็นสิ่งที่ใช้คืนยากที่สุด!
“กลับไปเถิด” หรงซู่เอ่ย “อันที่จริงแล้วเจ้ามิต้องใส่ใจมากขนาดนั้น เพราะอย่างที่เจ้าพูดเอาไว้ อดีตได้ผ่านไปแล้ว สิ่งสำคัญย่อมอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นหากเจ้าเหนื่อยมากแล้วก็กลับไปนอนพักผ่อนสักตื่นก็คงดีขึ้นแล้ว”
“อืม อย่างนั้นข้าขอตัวกลับแล้ว” เงียบไปครู่หนึ่งกว่าซูเหลียนอวิ้นจะลุกขึ้นแล้วโบกมือไปทางหรงซู่
“กลับไปเถิด ตอนเดินก็เร่งฝีเท้าเร็วหน่อย ข้าดูจากอากาศตอนนี้ ตอนค่ำๆ ฝนน่าจะตก”
ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้น ตอนนี้พระอาทิตย์สุกสว่างลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า ถือเป็นเวลาที่อากาศดีมาก แม้ว่าจะอยู่ในความฝันมาเป็นระยะเวลาสักพักหนึ่งแล้ว ทว่าในความจริงนางอยู่ที่ที่พักของหรงซู่มาได้เพียงชั่วยามเดียว
แต่…ในเมื่อท่านอาจารย์บอกว่าฝนจะตก นั่นแสดงว่าฝนจะต้องตกอย่างแน่นอน! ดังนั้นนางจะต้องรีบกลับจวนให้เร็วที่สุด!
“คุณหนูใหญ่ เร็วเพียงนี้เชียวหรือ” ที่ตีนเขา หลานเย่ว์เกาศีรษะเมื่อเห็นการปรากฏตัวตรงหน้าของซูเหลียนอวิ้น เพราะเขาคิดว่าอย่างน้อยๆ ซูเหลียนอวิ้นจะต้องอยู่นานกว่านี้อีกหน่อย เขาคาดไม่ถึงเลยว่านางจะลงมาเร็วขนาดนี้
“อืม ข้ารับปากหลีมู่ไว้แล้วว่าจะรีบกลับ” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกมาบังแสงแดดที่แยงตา “พวกเรารีบกลับกันเถิด เพราะดูจากอากาศตอนนี้ ฝนอาจจะตกลงมาได้”
หลานเย่ว์ “…?”
อากาศเช่นนี้…ฝนจะตกหรือ คุณหนูใหญ่กำลังล้อเขาเล่นอยู่รึเปล่า
แม้ว่าหลานเย่ว์จะข้องใจมาก แต่เขาก็ทำเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น “ได้ขอรับคุณหนู เช่นนั้นพวกเราต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อย”