ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 220 สินสอด
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 220 สินสอด
ว่ากันไว้ว่าเราจะไม่ยื่นมือไปตีคนที่ยิ้มให้ ในเมื่อจางเจาหวาพูดจาอ่อนโยนนิ่มนวลขนาดนี้ ดังนั้นในเวลาเพียงครู่เดียวเปลวไฟในใจของอันเพ่ยอิงก็มอดดับลง นางรับรายการสินสอดมาจากจางเจาหวาและพิจารณาดูอย่างละเอียด
รายการสินสอดแผ่นนี้ยาวนัก…อันเพ่ยอิงบ่นในใจ เขียนมายาวขนาดนี้คงมิได้จับทุกอย่างมาเขียนลงในนี้หมดกระมัง เช่น กำไลหนึ่งวง ตุ้มหูหนึ่งคู่ และอื่นๆ ที่จับยัดลงมาในรายการนี้
ผ่านไปพักใหญ่ ดวงตาของอันเพ่ยอิงจึงเบิกกว้าง “ฮูหยินโหว นี่ท่าน…” นี่เป็นสินสอดเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นจริงหรือ
“ทำไมหรือ มีตรงไหนไม่เหมาะสม?” จางเจาหวาปิดปากหัวเราะ “ข้าเองก็เพิ่งเคยจัดการเรื่องราวเช่นนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงยากที่จะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นเลย ขอให้ฮูหยินซูอย่าได้เกรงใจหรือมีคำตำหนิอะไรเลย หากมีอะไรไม่เหมาะสมก็พูดออกมาตอนนี้เลยก็ได้”
“เอ่อ…ไม่มีๆ” อันเพ่ยอิงส่ายหน้า นางเพียงรู้สึกว่าในมือของนางที่กำลังถือกระดาษอยู่ตอนนี้เหมือนกำลังกำเหล็กร้อนๆ เอาไว้แล้วโดนลวกมือเข้า!
เนื่องจากตัวนางเองก็เป็นผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน อีกอย่างสินสอดที่ซูปั๋วชวนให้นางในตอนนั้นก็ถือได้ว่าสูงมากเป็นลำดับต้นๆ แล้ว ทว่าหากนำมาเทียบกับของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้แล้ว…ก็เปรียบเหมือนผู้เริ่มฝึกเวทมนต์มองดูผู้ที่มีเวทมนต์แก่กล้าแล้ว นั่นจึงหมายความว่าไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้เลย
ในรายการสินสอดเหล่านี้เขียนละเอียดถึงของที่เล็กที่สุดอย่างเครื่องประดับอัญมณีสลัก ส่วนของชิ้นใหญ่จะเป็นโรงเตี๊ยมที่มีหลายที่จนนับไม่ไหว อีกทั้งประเภทของบรรดาโรงเตี๊ยมเหล่านั้นยังถือว่าเป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในเมืองมานาน ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี วันหนึ่งๆ สามารถทำกำไรได้มหาศาล หากจะกล่าวว่าวันหนึ่งๆ สามารถหาเงินเข้าได้เป็นถังๆ ก็คงจะไม่ใช่คำพูดที่เกิดจริง
ตอนนี้เมื่ออีกฝั่งเสนอของมามากมายเช่นนี้….? อันเพ่ยอิงจึงเริ่มรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาแล้ว แต่มิใช่เพราะเงินทองเหล่านี้เป็นเหตุ นางเพียงสงสัยว่าของตั้งมากมายเช่นนี้ เป็นของทั้งหมดที่มีอยู่ในจวนจิ้งอันโหวแล้วใช่หรือไม่
จางเจาหวาคล้ายเข้าใจความคิดอ่านของอันเพ่ยอิงจึงแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินซูมิต้องเป็นกังวลไป ของเหล่านี้มิมีความสำคัญอะไร ของเช่นทรัพย์สินเงินทองต่อให้มีมากเท่าไหร่ก็เป็นของนอกกายเท่านั้น อีกอย่างของพวกนี้ก็เป็นเพียงทรัพย์สินส่วนตัวส่วนหนึ่งของต้วนเฉินเซวียนเท่านั้น ดังนั้นในด้านสมบัติเงินทองสำหรับการจับจ่ายใช้สอยขอให้ฮูหยินซูวางใจเถิด หากอวิ้นเอ๋อร์แต่งเข้ามาแล้วจะไม่ต้องเดือดร้อนถึงนางอย่างแน่นอน”
อันเพ่ยอิงไม่ได้สนใจคำพูดอื่นใด คำพูดที่เข้าหูนางมีเพียง ของพวกนี้เป็นเพียงทรัพย์สินส่วนตัวส่วนหนึ่งของต้วนเฉินเซวียนเท่านั้น…ทรัพย์สินส่วนตัวหรือ
จริงอย่างที่ว่าว่าคนมิอาจมองแต่เพียงภายนอกได้ เพราะหลายปีที่ผ่านมา กิตติศัพท์ในเมืองหลวงที่เกี่ยวข้องกับคุณชายต้วนผู้นี้ โดยส่วนมากแล้วจะเกี่ยวข้องกับรูปโฉมที่หล่อเหลาหรือไม่ก็นิสัยที่แข็งกร้าววางโตของเขาเท่านั้น ส่วนด้านอื่นๆ …กลับมิเคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงมาก่อน
เนื่องจากตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนก็ยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางเต็มตัวจึงไม่ต้องว่าราชการ ดังนั้นต่อให้มีการพูดถึงก็คงจะไม่มีข่าวอะไรออกมามากนัก
ทว่าผู้ใดจะรู้เล่าว่าคุณชายผู้ที่ดูดื้อรั้นและไม่สนใจเรื่องราวรอบกายเช่นนี้จะถือเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินบรรจุอยู่ในกระเป๋าของตัวเองมากมายคนหนึ่งในเมืองหลวงแห่งนี้?
ที่แท้แล้วน้ำใต้เมืองหลวงแห่งนี้ลึกยากหยั่งถึงยิ่ง ผู้ใดจะอ่านคนอื่นได้จากภายนอกว่าแท้จริงแล้วภายในใจของเขาเป็นอย่างไรได้เล่า
ทว่า…ตอนนี้อันเพ่ยอิงเพียงไม่รู้ว่าตัวเองควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี เนื่องจากคำพูดของจางเจาหวาเมื่อครู่นี้ หากจะให้พูดจริงๆ แล้วถือเป็นคำพูดที่นับว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างมาก แต่กลับเอามาพูดกับนางเช่นนี้? แน่นอนว่าหากตอนนี้พวกเขาทั้งสองครัวกลายเป็นครัวเดียวกันหรือแต่งงานกันไปแล้ว การพูดเช่นนี้ก็ไม่นับว่ามีปัญหาอะไร
แต่ตอนนี้…ไม่ใช่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องราวทั้งหมดยังไม่ได้เจรจากันอย่างเป็นทางการเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับเอาเรื่องทรัพย์สมบัติของตัวเองออกมาพูดให้พวกนางฟังเสียแล้ว? เรื่องนี้คล้ายว่าจะจัดการไม่ง่ายเท่าไหร่นัก…
“คุณชาย…อายุน้อยแต่เก่งกาจนัก มิอาจดูเพียงภายนอกแต่อย่างเดียวได้” อันเพ่ยอิงฝืนหัวเราะเล็กน้อยและคิดว่าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ต่ออีก
แต่ในอีกด้านหนึ่ง จางเจาหวากลับไม่ลืมจุดประสงค์ของตัวเองในการมาครั้งนี้ ดังนั้นต่อให้อันเพ่ยอิงจะพยายามเลี่ยงไม่พูดถึง พวกเขาก็ต้องพยายามเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่อยู่ดี
“ฮูหยินซู ให้ข้าเรียกท่านว่าพี่สาวก็ไม่มีปัญหาอะไร” จางเจาหวาลุกขึ้นย้ายไปนั่งด้านข้างอันเพ่ยอิง พลางใช้สายตาวิงวอนและเอามือของตนกุมมือซ้ายของอันเพ่ยอิงที่ถือรายการสินสอดเอาไว้ “เดิมทีเรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องของเด็กๆ ปล่อยให้พวกเขาได้คิดทบทวนด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วคนเป็นพ่อแม่อย่างพวกเรา…
“เฮ้อ ข้าก็มีเซวียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว สิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขาอยากได้ ข้าก็หวังว่าเขาจะได้ตามความปรารถนา ดังนั้นแล้ว…หากให้พูดตามตรง ข้าเองก็รู้สึกว่าเซวียนเอ๋อร์ของพวกเรามิได้มีอะไรไม่ดี เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ รูปลักษณ์ภายนอกก็ถือว่าใช้ได้ อีกทั้งหากถามถึงความก้าวหน้าแล้ว…เขาก็สมัครใจเข้ารับการฝึกที่ค่ายทหารด้วยตัวเอง เจ้าจึงมิต้องเป็นกังวลเรื่องอนาคต
“อีกอย่างเรื่องของอวิ้นเอ๋อร์เรื่องนี้…ลูกชายของข้ามิเคยขอเรื่องอื่นกับข้ามาก่อน ครั้งนี้ถึงกับยอมแบกหน้ามาขอร้องข้า ดังนั้นความรู้สึกที่เขามีต่ออวิ้นเอ๋อร์ ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ ข้ากล้ารับประกันว่าความรู้สึกของเขาออกมาจากใจจริง! แม้ว่าก่อนหน้านี้เด็กทั้งสองจะมีเรื่องเข้าใจผิดต่อกัน แต่เรื่องราวพวกนั้นก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ตอนนี้พวกเราควรมองไปข้างหน้าอย่างเดียวจะดีกว่าใช่หรือไม่”
อันเพ่ยอิงก้มหน้าฟังเงียบๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด เนื่องจากสิ่งที่จางเจาหวาพูดนั้น นางเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง มิเช่นนั้นแล้วตอนแรกคงไม่เลือกต้วนเฉินเซวียนมาเป็นคู่หมั้น
ในตระกูลต้วน ต้วนเฉินเซวียนถือเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวในตระกูล ไร้พี่น้องต่างมารดา ดังนั้นหากไม่มีเรื่องราวอะไรที่เหนือความคาดหมายแล้ว ตำแหน่งท่านโหวคงหนีไม่พ้นมือเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งตระกูลต้วนยังมีที่พึ่งพิงที่คอยช่วยเหลืออย่างฮองเฮาอยู่ในวังหลวง อีกทั้งจวนจิ้งอันโหวยังเป็นจวนท่านโหวที่อยู่มาแล้วหลายยุคหลายสมัย หากกล่าวในแง่ของฐานะและความมั่นคงแล้วถือว่าหาได้ยากเป็นอย่างยิ่งในเมืองหลวงแห่งนี้
หากอวิ้นเอ๋อร์ของนางได้แต่งเข้าไปอยู่แล้วก็คงจะได้จัดการเพียงงานในเรือนเล็กๆ น้อยๆเท่านั้น แถมยังไม่มีญาติพี่น้องของเขาที่น่ารำคาญใจมาขวางหูขวางตาอีก นี่จึงถือเป็นเรื่องที่น่าเบาใจนัก
ทว่า…เรื่องราวอย่างเรื่องการแต่งงานนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเรื่องที่มิอาจมองเพียงภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวได้ อีกอย่างคำพูดของจางเจาหวาเมื่อครู่นี้ แม้ว่าจะทำให้อันเพ่ยอิงเกิดใจอ่อนแต่ก็ทำให้ความคิดของอันเพ่ยอิงเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ต้วนเฉินเซวียนอายุน้อยเพียงเท่านี้แต่กลับคิดวิธีการเช่นนี้ได้ แถมยังสามารถซ่อนเรื่องราวไว้ได้อย่างลึกซึ้งเช่นนี้…ความคิดอ่านระดับนี้ อวิ้นเอ๋อร์ของนางจะรับมือได้หรือ
ซูเหลียนอวิ้นเป็นคนอย่างไร คนเป็นแม่อย่างอันเพ่ยอิงย่อมกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ หากวันหนึ่งต้วนเฉินเซวียนใช้วิธีการในแบบของเขากับนาง เกรงว่าไม่ต้องรอถึงสามยก ซูเหลียนอวิ้นก็คงจะแพ้เขาอย่างยับเยินแน่นอน
“ข้าเข้าใจเจตนาของจวนท่านโหวดี” อันเพ่ยอิงพับรายการสินสอดอย่างระมัดระวัง “แต่เรื่องเช่นนี้อย่างไรข้าก็ต้องปรึกษากับสามีของข้าก่อน เพราะข้ามิกล้าตัดสินใจเรื่องใหญ่เช่นนี้ด้วยตัวเอง”