ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 222 การตัดสินใจสุดท้าย
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 222 การตัดสินใจสุดท้าย
“เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน” หวังฉือหวนหลับตาลงทั้งสองข้าง “กำลังของพวกเราเดินมาได้ถึงแต่เพียงเท่านี้แล้ว ที่เหลือ…พวกเราต้องดูว่าฟ้าจะลิขิตอย่างไรต่อ”
ฟ้าจะลิขิตอย่างไร…อันเพ่ยอิงยิ้มอย่างขมขื่น คงจะต้องเอาตามนี้จริงๆ แล้ว
ณ สวนสาลี่”คุณหนูใหญ่จะลุกขึ้นมาเดินหน่อยดีหรือไม่ ให้บ่าวเป็นเพื่อนเล่นโยนถุงทรายด้วยก็ได้นะเจ้าคะ” เมื่อหลีมู่เห็นซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกร้อนใจ นี่มันผ่านมาตั้งกี่วันแล้วที่คุณหนูมีท่าทางตายอกตายอยากเช่นนี้
คุณหนูใหญ่ในอดีตไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ต่อให้ไม่สบายก็อยากจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกทุกวันอยู่ดี! ป่วยหรือ จริงด้วย! หลีมู่ตบมือ ตอนนี้คุณหนูใหญ่อาจป่วยอยู่ก็ได้กระมัง เพราะการจะดูว่าป่วยหรือไม่นั้นจะใช้แค่มือเตะหน้าผากว่าร้อนเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้!”คุณหนูใหญ่ไม่สบายใช่หรือไม่เจ้าคะ ให้บ่าวตามหมอเฝิงมาดูอาการดีหรือไม่”
“หลีมู่ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวเพื่อปรับท่าให้สบายขึ้น “ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไร อย่างน้อยๆ ร่างกายข้าก็ปกติดี” ตอนนี้ใจของนางป่วยอยู่ต่างหาก! ช่วงนี้นางคิดมากทุกวัน อีกอย่างแค่นึกว่าตัวเองใกล้จะต้องแต่งงาน แค่นี้ก็ทำให้นางนอนไม่หลับได้แล้ว!
การนอนไม่หลับทุกคืน ทำให้อารมณ์ความรู้สึกตอนกลางวันนั้นแปลกประหลาดมากทีเดียว!
“อวิ้นเอ๋อร์” มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมาเข้ามาจากด้านนอก
“ท่านพี่?” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นนั่ง เหตุใดซูมั่วเยี่ยจึงมาหานางตอนนี้ งานที่ค่ายทหารจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ หรือว่า…มีเรื่องด่วนกับนาง?!
“ท่านพี่ มีอะไรหรือเจ้าคะ” ซูเหลียนอวิ้นลงจากเตียงแล้วไปเปิดประตู “เข้ามาคุยกันด้านในเถิด”
“น้องหญิง”
“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “น้องอยู่นี่” ดูท่าแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร มิเช่นนั้นแล้วท่านพี่คงไม่ต้องเอ่ยอย่างหนักใจเช่นนี้!
“น้องหญิงจะ…แต่งงานแล้วหรือ” ซูมั่วเยี่ยปลุกความกล้าในตัวเอง ใบหน้าของเขาปรากฏสีแดงอ่อนๆ”ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น?” ซูเหลียนอวิ้นเกาศีรษะอย่างไม่ใส่ใจนัก “มีอะไรหรือเจ้าคะ”
ก่อนที่ซูมั่วเยี่ยจะมาหาซูเหลียนอวิ้นที่นี่ อันที่จริงแล้วเขาได้แวะไปหาอันเพ่ยอิงมาก่อนแล้ว ดังนั้นในใจของเขาจึงรู้ดีว่าตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
แม้ว่าตอนแรกเขาจะรู้สึกร้อนใจและไม่พอใจว่าเพราะเหตุใดเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดขึ้นกับน้องสาวของเขาด ทั้งยังพยายามหาทางออกอื่นเพื่อแก้ปัญหานี้ให้ได้
ทว่าเมื่อเขาถามคำถามออกไปทีละข้อ คำตอบที่อันเพ่ยอิงพยายามอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทนทีละข้อนั้นทำให้คนอย่างเขาต้องยอมรับความจริงของเรื่องนี้ไปอย่างเสียไม่ได้
ดังนั้นการที่เขามาหาซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ อันที่จริงแล้วส่วนหนึ่งก็เป็นความตั้งใจของอันเพ่ยอิงให้เขามาเพื่อสังเกตท่าทางของนางอีกสักครั้งหนึ่งว่าซูเหลียนอวิ้นมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง
เพราะตอนนี้หากในใจของซูเหลียนอวิ้นไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่นแล้ว…เรื่องนี้ก็คงถึงเวลาต้องตบโต๊ะว่าไปตามนี้แล้ว
“พี่จึงอยากรู้ว่าเจ้า…””อยากรู้ว่าข้ามีความเห็นอื่นหรือไม่ ดีใจหรือไม่ เศร้าใจมากขนาดไหนหรือว่าอยากถามข้าว่าข้ามองการแต่งงานครั้งนี้ว่าอย่างไร” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ แววตาของนางปรากฏรอยยิ้มซุกซน “ท่านพี่อย่างไรก็ต้องมีวันนั้นเจ้าค่ะ เพียงแค่วันนั้นของน้องมาถึงเร็วกว่าคนอื่นก็เท่านั้น ส่วนเรื่องที่เหลือ…จะมีอะไรได้อีกเล่า
“ถึงอย่างไรท่านพ่อ ท่านแม่รวมทั้งท่านก็คงไม่มีทางประสงค์ร้ายกับน้องแน่?”
ซูมั่วเยี่ยมองดวงตาที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเข้าใจ รู้ทุกเรื่องและยอมรับในโชคชะตาทุกอย่าง ของซูเหลียนอวิ้น ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว ทำให้เขาที่เตรียมคำพูดทุกอย่างเอาไว้อย่างดีแล้วเพื่อจะสร้างความมั่นใจและปลอบใจนาง…ไร้คำพูดไปในทันที
“พวกเราเพียงหวังว่าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” ตอนนั้นซูมั่วเยี่ยเพียงรู้สึกว่าดวงตาของตนเองเริ่มเคืองขึ้นมา ส่วนลำคอของเขาก็รู้สึกคล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างติดอยู่ในนั้น เขาจึงเอ่ยว่า “น้องหญิง ตอนนี้หากเจ้ามีอะไรอยากจะพูด ยังไม่ถือว่าสายเกินไป” หากรอให้เขาพ้นจากประตูห้องนี้ไปแล้ว ทุกอย่างคงบีบคั้นเกินไปหมดแล้ว หรืออาจจะกล่าวได้ว่า…สายเกินไป! หากจะนึกเสียใจภายหลังก็คงไม่ทันเสียแล้ว!
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำพูดของซูมั่วเยี่ยดังนี้ก็รู้สึกคุ้นหูขึ้นมาคล้ายว่านางเคยได้ยินมาก่อน นางรู้สึกราวกับว่าความรู้สึกของนาง…ถูกดึงกลับเข้าไปในอดีตอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อก่อนก็คล้ายว่าซูมั่วเยี่ยเคยถามคำถามเช่นนี้กับนางมาก่อน ซูมั่วเยี่ยเคยถามนางว่า “น้องหญิงเจ้าทำถึงขึ้นนี้แล้ว เจ้าจะเสียทีหลังหรือไม่” ตอนนั้นนางตอบไปว่าอย่างไรนะ คล้ายว่านางเอ่ยอย่างมั่นใจว่า นางไม่เสียใจแน่ นางไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่นางได้ตัดสินใจลงมือทำไปทุกอย่าง ไม่ว่าจะผิดหรือถูก นางจะทำเพียงกัดฟันแล้วเดินหน้าต่อไป และจะไม่มีวันที่จะมานั่งนึกย้อนเสียใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้วว่าเคยเป็นอย่างไร
ดังนั้นหากถามคำถามประเภทนี้กับนางตอนนี้? ถามนางว่าภายหลัง…จะเสียใจหรือไม่
“ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นกลืนน้ำลาย จากนั้นจึงยิ้มมุมปาก “น้องไม่เสียใจ ให้เป็นแบบนี้เถิดเจ้าค่ะ” เส้นทางดำเนินมาถึงตอนนี้แล้วก็ควรเดินไปตามทางสายนี้ไปจนมืดมิดเถิด ถึงอย่างไรนางก็เชื่อว่า การเดินทางของนางครั้งนี้จะสามารถพบเจอกับแสงสว่างได้อย่างแน่นอน
ในเมื่อเส้นทางที่มืดดำและมองไม่เห็นปลายทางยิ่งกว่านี้ยังเคยเดินมาแล้ว นางไม่เคยหวาดกลัวและรู้สึกเสียใจมาก่อน อีกทั้งชาตินี้นางยังมีคนอย่างเช่นท่านพ่อ ท่านแม่และท่านพี่คอยเดินเป็นเพื่อนนาง เช่นนี้แล้วนางยังจะต้องกังวลหรือกลัวอะไรอีกเล่า
“น่าเสียดายจริงๆ ” ซูมั่วเยี่ยเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นจึงยื่นมือออกไปลูบผมซูเหลียนอวิ้นอย่างสุดแรงจนผมของนางลงมาปรกหน้าจนมองไม่เห็นสีหน้าอีก เขาจึงเอ่ยว่า “เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก เพียงพริบตาเดียวเจ้าก็…ช่างเถิดข้าคงพูดได้เพียงว่าเจ้าเด็กต้วนเฉินเซวียนนั่นไม่คู่ควรกับเจ้าเลยจริงๆ”
จู่ๆ ก็มาฉกเอาคนดีๆ อย่างน้อยสาวตนไปได้! ช่างโชคดีเหลือเกิน?
“พี่ขอตัวก่อนแล้ว น้องหญิงพักผ่อนเถิด” หากไม่ไปตอนนี้เขาเกรงว่าเขาคงจะ…
ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้างุด เพราะการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของซูมั่วเยี่ยเป็นอย่างไรนั้น ไม่ต้องเห็นนางก็ฟังออก ในเมื่อท่านพี่ไม่อยากให้นางมองเห็น เช่นนั้นนางก็จะทำเหมือนว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“ท่านพี่เดินระวังเจ้าค่ะ…”
หลังจากนั้นเสียงปิดประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น ตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วเดินช้าๆ ไปที่หน้าต่าง จากนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยวางอารมณ์ของตัวเองให้สงบลง
“แต่งงานหรือ…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพำออกมา เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่าชาตินี้ชีวิตนี้นางจะไม่ต้องพบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้แล้ว สุดท้ายแล้วผู้ใดจะคิดว่าเหตุการณ์นี้จะดำเนินมาถึงภายในชั่วพริบตาเดียว
“ช่างเถิดๆ ” ซูเหลียนอวิ้นนอนพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อเริ่มรู้สึกว่าเมื่อยแล้วจึงค่อยๆ พลิกตัวช้าๆ
“ถึงอย่างไรทุกคนย่อมต้องมีทางออกให้เดิน ทุกอย่างจะต้องมีวิธีจัดการอย่างแน่นอน!” แต่งงานก็แต่งงาน! ซูเหลียนอวิ้นฝืนปลอบใจตัวเอง
ต้วนเฉินเซวียน…จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นคนคุ้นเคยกันใช่หรือไม่! อย่างน้อยๆ ก็คงดีกว่าแต่งกับคนที่เคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียวหรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมากแล้ว!
มากแล้วจริงๆ!