ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 226 คู่ต่อสู้
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 226 คู่ต่อสู้
“คุณหนูให้บ่าวไปก็ได้ขอรับ” ซูเหลียนเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าอวี่ซางเป็นผู้สมัครใจไปเอง “ได้ ผู้ใดไปก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ตามเขาไปให้ดีก็แล้วกัน” นางไม่ได้อยากจะให้ความสำคัญกับต้วนเฉินเซวียน นางเพียงคิดว่า…ทั้งหมดควรจะระมัดระวังให้มากหน่อยจะได้ไม่ผิดพลาด!
“ขอรับ คุณหนูใหญ่ บ่าวเข้าใจแล้ว” อวี่ซางเอ่ยปากรับประกันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“อืมๆๆ” ซูเหลียนอวิ้นตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก ในใจของนางเพียงหวังว่าขออย่าให้อวี่ซางประมาทเกินไปจนปล่อยเขาหลุดมือ นั่นจะยิ่งวุ่นวายกันไปใหญ่!
“นายท่านขอรับ คล้ายว่ามีคนสะกดรอยตามเราอยู่ด้านหลัง” หลังจากที่อวี่ซางตามไปได้สักพัก หลิวจือก็เริ่มรู้สึกได้ถึงฝีเท้าของเขา
ต้วนเฉินเซวียนเลิกคิ้วเล็กน้อย น้ำหนักหนักเบาของฝีเท้านี้ เขานึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเป็นฝีเท้าของผู้ใด แต่…ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ช่างเถิด!
เนื่องจากตอนนี้เขามีภารกิจสำคัญที่ต้องจัดการก่อน! ดังนั้นองครักษ์ที่เขาไม่รู้ว่ามาจากจวนไหน ข้าคงต้องขออภัยด้วย ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนเจ้า
“หลิวจือ ไปขวางไว้ก็พอ ตรงหัวมุมด้านหน้าข้าจะเลี้ยวไปทางขวา” ร้านอู่เซียงเก๋อตอนนี้คงจะเปิดร้านเรียบร้อยแล้วกระมัง ดังนั้นเกรงว่าเขาต้องเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นมากหน่อย
“รับคำสั่งขอรับ นายท่าน”
อวี่ซางสะกดรอยตามต้วนเฉินเซวียนอย่างสบายใจ เนื่องจากงานเช่นการสะกดรอยตามนี้ สำหรับผู้เป็นองครักษ์นั้นถือว่าเป็นทักษะพื้นฐานที่สุด เป็นภารกิจที่พวกเขาเริ่มทำเป็นตั้งแต่แรกเริ่ม
ดังนั้นแน่นอนว่าตอนนี้ในใจของอวี่ซางมิได้ใส่ใจคำพูดที่ซูเหลียนอวิ้นกำชับเขาก่อนออกมาเลย ดังนั้นจึงทำให้…ชั่วขณะที่ผ่านหัวเลี้ยวตรงมุมถนน เขาก็…พลัดหลงกับพวกเขาแล้ว!
บริเวณนี้เป็นทางแยกซ้ายขวาสองด้าน
อวี่ซางมองซ้ายมองขวา สุดท้ายจึงตัดสินใจจะเลี้ยวไปทางขวาก็แล้วกัน! ด้านขวาเป็นทางที่ทะลุไปถึงร้านอู่เซียงเก๋อ แม้ว่าการไปร้านอู่เซียงเก๋อในครั้งนี้ ต้วนเฉินเซวียนอาจจะแวะไปที่อื่นก่อน แต่ตอนนี้เขาพลัดหลงกับพวกนั้นแล้ว! ดังนั้นเขาจึงต้องเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง ดังนั้นไปทางด้านขวาก็แล้วกัน!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี่ซางก็เตรียมจะก้าวเท้าเพื่อมุ่งไปยังถนนด้านขวามือ
“พ่อหนุ่ม เจ้ากำลังตามหาคนอยู่หรือ” อวี่ซางรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดที่อยู่ด้านหลัง ยังไม่ทันจะหันตัวก็รีบกระโดดไปด้านหลังเพื่อรักษาระยะห่าง
เมื่อหลิวจือเห็นอวี่ซางหันตัวหลบอย่างมีฝีมือเช่นนี้จึงพยักหน้าแสดงการชื่นชม จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ไม่เลว เคลื่อนไหวใช้ได้!” เพียงแค่ฉลาดน้อยเกินไปหน่อยเท่านั้น เพราะเขาตามคนผู้นี้มาจนถึงด้านหลังแล้ว แต่คนผู้นี้ยังไม่รู้ตัว ดังนั้นหากเขาไม่เอ่ยปากทักขึ้นก่อน คนผู้นี้ก็คงยังไม่รู้สึกตัวกระมัง
“ท่านคือ…?” อวี่ซางหรี่ตาลง “หน้าตาของท่านคุ้นตานัก!” จ้องอยู่เป็นเวลานานกว่าอวี่ซางจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา
เนื่องจากครั้งที่แล้วที่หลิวจือโดนจับตัว เขามิได้เป็นคนลงมือจับด้วยตัวเอง อีกทั้งตอนที่หลิวจือโดนสอบปากคำ ใบหน้าของหลิวจือก็ถูกต่อยเสียจนสภาพเป็นเช่นนั้นเสียแล้ว ดังนั้นตอนนี้ที่อวี่ซางบอกว่าคุ้นตานั้นเป็นเพียงเพราะสายตาของอวี่ซางเองเท่านั้น…ที่รู้สึกว่าคุ้นตา!
ทว่าในมุมอื่นๆ นั้น? เขาคงจะยังไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนกระมัง แล้วทำไมเขาถึงต้องมาขวางตนเอาไว้ด้วย
ทว่าหลิวจือนั้นแตกต่างจากอวี่ซาง ในตอนนั้นอวี่ซางไม่ได้ถูกทำร้าย! อีกอย่างอวี่ซางในตอนนี้ก็มิได้ปลอมตัวมาด้วย ดังนั้นเพียงแค่หลิวจือสังเกตใบหน้าของอวี่ซางไม่นานก็สามารถจำหน้าเขาได้
คนผู้นี้มิใช่องครักษ์ประจำตัวของคุณหนูซูหรอกหรือ! หลิวจือแอบโวยในใจ อย่างนี้ท่าจะไม่ดีแน่?
เพราะหากเป็นคนของบ้านอื่น จะสั่งสอนก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ส่งคนมาสะกดรอยตามเจ้านายของเขาก่อน ดังนั้นหากลงไม้ลงมือก็คงไม่เป็นไร
แต่พอเป็นคนของคุณหนูซูก็ย่อมทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว…? เรื่องนี้หากนายท่านรู้เข้าว่าคุณหนูซูส่งคนมาสะกดรอยตามเขาเช่นนี้ เขาคงจะไม่มีทางชอบใจแน่! เนื่องจาก…พอฟังดูแล้วคล้ายกับว่าคุณหนูซูไม่ไว้ใจเขาจึงตั้งใจส่งคนออกมาสะกดรอยตาม
เฮ้อ อย่างนี้ก็ยากจะจัดการเสียแล้ว! เพราะจะลงไม้ลงมือก็ทำไม่ได้!
หากเจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้กลับไปเพราะโดนเขาลงไม้ลงมือหรือแตะเนื้อต้องตัวเขาแม้เพียงเล็กน้อยแล้วไปฟ้องซูเหลียนอวิ้นขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้นหลิวจือกล้ารับประกันเลยว่า หากเขาโดนสอบสวนขึ้นมา เขาจะต้องเป็นเป้าหมายแรกที่จะโดนจัดการก่อนอย่างแน่นอน!
เพราะหลิวจือมองออกแล้วว่าเจ้านายของเขาตอนนี้ เมื่ออยู่ที่เรือนของคุณหนูใหญ่ซูก็ไม่มีมาตรฐานอะไรทั้งนั้น? เพราะเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ได้ทำลายความอดกลั้นของหลิวจือไปมากทีเดียว! ซึ่งก็ทำให้หลิวจือได้เห็นว่าเจ้านายของตนก็มีด้านแบบนี้เช่นกัน!
ดังนั้นในสถานการณ์ตอนนี้…ช่างเถิด คงต้องถ่วงเวลาคนผู้นี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน!
เมื่ออวี่ซางเห็นว่าคนผู้นั้นเอ่ยเพียงเท่านั้นแล้วก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ต่อ แถมยังเริ่มไม่พูดไม่จาและเหม่อลอยเช่นนี้ ตอนแรกเขามีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างมาก เพราะอวี่ซางคิดมาตลอดว่าท่าทางของหลิวจือคล้ายกำลังเตรียมตัวจะออกกระบวนท่าที่อันตรายบางอย่าง สุดท้ายพอผ่านไปพักใหญ่ อวี่ซางกลับพบว่า สมองของเขาคงจะมีปัญหาไปแล้ว!
เห็นชัดๆ ว่าคนผู้นี้กำลังเลื่อนลอยคิดบางอย่างอยู่! มีกระบวนท่าโจมตีหรือการรวบรวมกำลังที่ไหนกัน สมองของเขาเองก็คงมีปัญหาด้วยเช่นกัน ! ถึงคิดแต่เรื่องฟุ้งซ่านเช่นนี้ได้
เฮ้อ ดูท่าแล้วช่วงนี้คงเป็นเพราะเขาอ่านตำนานตามคุณหนูจนเป็นเช่นนี้แล้วกระมัง เพราะในยุทธภพนี้หากผู้ใดมีวรยุทธ์เช่นนั้น หากคิดจะครองอำนาจทั่วทั้งยุทธภพนี้ก็คงจะไม่เป็นปัญหา!
จากนั้นอีกเพียงชั่วครู่ อวี่ซางจึงใช้สายตาไม่ขอข้องเกี่ยวกับเจ้ามองเหยียดไปที่หลิวจือ จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างโอหัง
คุณหนูของเขาเคยพูดเอาไว้แล้วว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ เราจะสูญเสียอะไรก็ได้ แต่อย่าสูญเสียจุดแข็งอย่างเด็ดขาด! อวี่ซางเองก็รู้สึกเห็นด้วยเช่นกัน! เมื่อครู่นี้ในตอนเริ่มก็คล้ายว่าเขาได้สูญเสียโอกาสไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจะต้องตีตื้นกลับมาให้ได้!
“ลาก่อน!” อวี่ซางหันตัวไปอย่างไม่แยแสแล้ววิ่งหนีไปไกลลิบ
“เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!” หลิวจือร้อนใจตามไป ข้าให้เจ้าไปแล้วหรือ! อย่าคิดว่าจะใช้โอกาสที่เขาไม่กล้าลงมือแล้วจะทำตามใจเช่นนี้ได้ แม้ว่าจะไม่สามารถลงไม้ลงมือได้ แต่การถ่วงเวลานั้นมีวิธีการตั้งหลายอย่าง
อวี่ซางได้ยินเสียงของหลิวจือดังขึ้น เขารู้สึกว่าเสียงนั้นระคายหูยิ่ง! ยังมีอะไรที่เพิ่งคิดได้ขึ้นมาหรือ คนผู้นี้คงจะเพี้ยนจริงๆ กระมัง เมื่อครู่นี้ยืนเฉยอยู่ตั้งนานไม่รู้จักพูด เขาก็คิดว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว สุดท้ายพอเขาขยับตัวกลับตามเขามาเช่นนี้อีก
คนผู้นี้คือผู้ใดกันแน่… หรือว่าจะเป็นคนที่เขาควรรู้จัก แต่เขาจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด!
หากว่ากันด้วยคุณสมบัติแล้ว หลิวจือนั้นมีประสบการณ์เหนือกว่าอวี่ซางไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะการฝึกฝนก็เป็นเพียงการฝึกฝน ไม่ใช่การต่อสู้จริง อวี่ซางกับหลิวจือแม้ว่าจะเป็นองครักษ์เหมือนกัน ทว่าภารกิจจริงจังของอวี่ซางกลับมีน้อยมาก
ส่วนหลิวจือนั้นแตกต่างออกไป เขาเคยผ่านวันที่ต้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับต้วนเฉินเซวียน แถมยังเคยผ่านช่วงเวลาลำบากแสนสาหัสกับต้วนเฉินเซวียนมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ดังนั้นความสามารถของอวี่ซางในตอนนี้ถือว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับหลิวจือเลยสักนิด