ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 229 เจรจา
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 229 เจรจา
“เจ้ากำลังจะบอกว่าพอต้วนเฉินเซวียนไปถึงอู่เซียงเก๋อแล้วก็รีบพุ่งตัวเข้าไปด้านหลังครัวทันทีหรือ” เสียงของซูเหลียนอวิ้นแข็งกระด้างแต่มิอาจตัดสินได้ว่าพอใจหรือไม่
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” ผูหลิวก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ อย่างระมัดระวังว่า “ตอนที่บ่าวตามไปก็เห็นภาพนี้พอดี” ตอนนี้คุณหนูใหญ่คงโกรธอยู่กระมัง ผูหลิวแอบคิดในใจ เวลาที่คุณหนูโกรธขึ้นมา ท่าทางไม่ต่างอะไรกับคุณชายใหญ่เลย!
ดูท่าแล้วพี่น้องสองคนนี้เป็นคนประเภทสีหน้าดูสงบแต่จริงๆ ในใจใกล้จะระเบิดเต็มที!ตอนนี้ท่าทางของซูเหลียนอวิ้นโมโหจัดจริงๆ ไม่ใช่ความรู้สึกอื่นอย่างแน่นอน เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้นางโมโหได้แล้ว
ต้วนเฉินเซวียนถึงขนาดบุกเข้าไปหลังครัวเชียวรึ! อย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร นั่นก็หมายความว่าต้วนเฉินเซวียนจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของร้านอย่างแน่นแฟ้นมาก ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นตัวเขาเองที่เป็นเจ้าของร้านอู่เซียงเก๋อ
มิเช่นนั้นคงไม่สามารถทำเรื่องวุ่นวายและรู้ช่องทางเช่นนี้ได้ทว่าจากข่าวคราวในชาติที่แล้วและชาตินี้ ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าของร้านมีโอกาสจะเป็นคนรุ่นหลังอย่างแน่นอน! เนื่องจากมีข่าวลือมาตลอดว่าเจ้าของตัวจริงของอู่เซียงเก๋อจะต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตอย่างแน่นอน ทว่ากลับไม่เคยมีผู้ใดรู้ว่าคนผู้นั้นคือใครกันแน่
ธุรกิจที่สามารถสร้างเป็นอาณาเขตของตัวเองขึ้นมาได้ในเมืองหลวงที่มีทั้งคนดีและไม่ดีผสมปนเปกันเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถสร้างร้านที่เป็นอิสระจากผู้ใดขึ้นมาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้คนนับถือวิธีการที่ใช้เบื้องหลังของเขาได้อย่างไร
“ซูเหลียนอวิ้น ข้ากลับมาแล้ว!” ต้วนเฉินเซวียนเปิดประตูเข้ามาดัง ‘ปัง’ แล้วก้าวเท้าเข้ามาในห้องโดยที่ไม่คิดอะไร จากนั้นจึงยกกล่องอาหารที่ทำจากไม้ในมือขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ “นี่ไง ข้าซื้อกลับมาแล้ว เร็วเข้า รีบกินตอนที่มันยังไม่ละลายดีกว่า”
การเดินทางครั้งนี้ เขาร้อนแทบไหม้! อีกทั้งเขายังต้องวิ่งกลับมาเป็นระยะทางไกลเช่นนี้โดยที่ต้องคอยระวังกล่องที่อยู่ในมือให้ตรงและไม่เอียงไปเอียงมาอยู่เสมอ อีกทั้งเวลาที่เขาถือยังไม่สามารถเอากล่องใบนี้มาไว้ใกล้ตัวได้เพราะร่างกายของคนเราเปรียบเหมือนเตาร้อนขนาดใหญ่ และนั่นจะยิ่งทำให้ขนมยิ่งละลายเร็วขึ้นไปอีก”เฮอะ” ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นางเพียงเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองไปที่ต้วนเฉินเซวียนด้วยสายตาเย็นเฉียบ จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะเพื่อดูว่าด้านในกล่องมีอะไรอยู่
เมื่อต้วนเฉินเซวียนสบสายตากับซูเหลียนอวิ้นเมื่อครู่นี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆ ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน!
แต่ตัวเขาก็มิได้ทำอะไรผิดใช่หรือไม่ ต้วนเฉินเซวียนพยายามหาเรื่องปลอบใจตัวเอง เพราะเขาก็ซื้อขนมบัวหิมะกุหลาบมาแล้วแถมยังตรงตามเวลาที่นัดไว้อีกด้วย นั่นก็คือจะต้องกลับมาก่อนเวลาเที่ยง ดังนั้น เขายังจะต้องรู้สึกละอายใจอะไรอีก!
เห็นชัดๆ ว่าเขาจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรผิดมิใช่หรือ
“ท่านแน่ใจหรือว่าของสิ่งนี้เป็นของที่ข้าต้องการ” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นเปิดกล่องดูแล้วก็เอ่ยปากขึ้น “นี่คือขนมบัวหิมะกุหลาบของร้านอู่เซียงเก๋อจริงหรือ นี่จะไม่เรียกว่าน้ำบัวหิมะกุหลาบแทนหรือ เพราะข้าไม่เห็นจะมีขนมอยู่ตรงไหนเลย แล้วท่านจะยังยืนยันว่าท่านซื้อมาจากร้านอู่เซียงเก๋ออีกหรือ ร้านอู่เซียงเก๋อจะขายของที่ทำลายชื่อเสียงของตัวเองเช่นนี้หรือ”
ซูเหลียนอวิ้นกอดอกแล้วเงยหน้ามองไปทางต้วนเฉินเซวียนอย่างเยาะเย้ย “ไม่อยากซื้อมาก็ไม่ต้องซื้อ ซื้อไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ ท่านกำลังเล่นลูกไม้ให้ผู้ใดดูหรือ เห็นผู้อื่นเป็นคนโง่ใช่หรือไม่” ในความเป็นจริงแล้วระยะทางไกลขนาดนั้นแถมอากาศข้างนอกยังร้อนแรงมากเสียขนาดนี้ การที่น้ำแข็งจะละลายถือเป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างยิ่ง อีกอย่างตอนที่ต้วนเฉินเซวียนถือกลับมา ขนมนี้ก็เริ่มละลายมาก่อนอยู่แล้ว ไม่ได้ละลายเป็นน้ำอย่างที่ซูเหลียนอวิ้นพูด
การที่ซูเหลียนอวิ้นจับผิดเขาเอาดื้อๆ เช่นนี้เป็นเพียงเพราะว่า ต้วนเฉินเซวียนใช้ทางลัด! นางอยากให้ต้วนเฉินเซวียนยืนตากแดดเข้าแถวในฤดูร้อนเช่นนี้! แต่ผลสุดท้ายเขากลับใช้ทางลัดโดยการเข้าไปด้านหลังครัวแล้วเอาของสิ่งนี้กลับมาให้นาง นางจึงไม่อาจทนได้จริงๆ !
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินซูเหลียนอวิ้นเสียดสีและตำหนิเขาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนที่ฝีปากร้ายอย่างเขากลับโต้เถียงไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
เขาเพียงยืนอยู่ไกลๆ อย่างนั้นแล้วเอามือเกาหน้าผาก จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือของตัวเองเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “มิใช่ข้ามิเต็มใจ…ความต้องการของเจ้าข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า…”
ปกติแล้วต้วนเฉินเซวียนเองก็เป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้อารมณ์โดยรวมของซูเหลียนอวิ้นเป็นอย่างไร เขาเพียงกวาดตามองแค่แวบเดียวก็ดูออก แต่ต่อให้นางโกรธจริง มันก็ต้องมีสาเหตุ?
และสาเหตุของเรื่องนี้ ในใจของต้วนเฉินเซวียนก็มีลางสังหรณ์บางอย่างว่าจะต้องไม่ใช่เป็นเพียงเพราะเขากลับมาช้าและทำขนมละลายเท่านั้น เรื่องนี้จะต้องมีเรื่องราวลึกๆ บางอย่างซ่อนอยู่ แต่เรื่องๆ นั้นคือเรื่องอะไรกันแน่?
“ช่างเถิด ท่านปฏิเสธข้ายังดีกว่า” เมื่อซูเหลียอวิ้นได้ยินเสียงแผ่วเบาของต้วนเฉินเซวียนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆ ความเดือดพล่านในใจนางก็เริ่มกระเพื่อมขึ้นมาอีก
นั่นก็เนื่องมาจากนางคิดว่า หากคนนอกมาเห็นเหตุการณ์แล้วทำการเปรียบเทียบขึ้นมาล่ะก็ นางจะต้องดูเป็นพวกไร้เหตุผลและชอบหาเรื่องผู้อื่นอย่างแน่นอน?
ชายผู้หนึ่งไปซื้อขนมที่ซื้อยากที่สุดในเมืองหลวงอย่างยากลำบากมาเพื่อหวังจะเอาใจสตรี แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าสตรีนางนี้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟที่น้ำแข็งละลายไปเพียงเล็กน้อย นี่ถือว่าไม่รู้จักแยะแยะอะไรดี อะไรไม่ดีใช่หรือไม่
สุดท้ายแล้วผู้ใดกันแน่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม! เหตุใดจึงรู้สึกว่าเป็นตัวนางเองอย่างไรอย่างนั้น!
“ซูเหลียนอวิ้น อีกไม่นานเราสองคนก็จะต้องแต่งงานกันแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเอามือไพล่หลังพลางมองไปยังซูเหลียนอวิ้นอย่างไร้เดียงสา “ดังนั้นหากเจ้ามีเรื่องอะไร เล่าให้ข้าฟังตรงๆ ก็ได้” ขออย่าให้นิสัยของเขาที่มีอะไรแล้วไม่ยอมพูดดีๆ ของตนที่เพิ่งจะดีขึ้น ไปปรากฏเป็นนิสัยของซูเหลียนอวิ้นแทนเลย
เพราะในตอนแรกเป็นเขามิใช่หรือที่เวลามีอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เมื่อความคิดนั้นมาถึงปากกลับพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจตลอด! ปกติแล้วคนส่วนมากก็มักจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเขา ผิด อีกอย่างคำพูดเหล่านั้น…ไม่ว่าผู้ใดฟังก็มีอันต้องรู้สึกเสียใจด้วยกันทั้งนั้น
“ข้า…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นสีหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่แถมยังรู้สึกผิดของต้วนเฉินเซวียน นางยิ่งมองความโกรธก็ยิ่งพลุ่งพล่านขึ้นมาอีก
เพราะเรื่องนี้เป็นนางที่เป็นฝ่ายไม่ยอมพูดดีๆ ให้เขาเข้าใจรึ หรือประเด็นสำคัญของปัญหานี้คือ คำพูดเจ้าปัญหา นางควรจะอธิบายออกไปตรงๆ แล้วอย่างนี้ควรจะพูดอย่างไรแล้วอธิบายอย่างไร
“ท่านมีสมองเอาไว้ทำไม” ซูเหลียนอวิ้นเท้าสะเอวและขมวดคิ้ว สายตาของนางจ้องเขม็งไปทางเขา “ตอนนั้นท่านก็พูดกับข้าแบบนี้! ตอนนี้ข้าก็แค่หนามหยอกเอาหนามบ่งก็เท่านั้น ท่านต้องคิดเอาเองแล้วว่าคำพูดที่ข้าต้องการเอ่ยจริงๆ นั้นคืออะไรกันแน่ หากคิดไม่ออก ต่อไปก็อย่ามาปรากฎตัวให้ข้าเห็นหน้าอีก!”