ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 231 เข้าใจ
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 231 เข้าใจ
“คุณหนูของเจ้าเป็นใคร” ซูเหลียนอวิ้นกรอกตา “มีอะไรบ้างที่ข้าไม่รู้” ขอนางแกล้งเขาก่อนเถิด! เพราะอย่างไรตอนนี้อวี่ซางก็ยังไม่รู้ถูกหรือไม่ สายตาคนที่แตกตื่นเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกภูมิใจในตัวเองไม่น้อยทีเดียว
อวี่ซางตกตะลึงแล้วปรบมือเบาๆ พร้อมเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ร้ายกาจมากจริงๆ …”
“อืมๆ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้ารู้! แต่ตอนนี้คงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว อวี่ซางเจ้ากลับไปก่อนเถิด ไม่ต้องอยู่แถวนี้แล้ว” หากยังอยู่ต่อ นางเองที่คงแสดงต่อไม่ได้แล้ว
ณ จวนจิ้งอันโหว
“นายท่าน กลับมาแล้วหรือขอรับ!” หลิวจือที่เดินไปเดินมาภายในบริเวณเรือนหยุดฝีเท้าลง “นายท่านกลับมาจากจวนคุณหนูซูหรือขอรับ ท่านกลับมาช้ายิ่ง! ตอนนี้เป็นตอนกลางวันนะขอรับ!” กลางวันฟ้าสดใส นายท่านไม่รู้จักระวังตัวบ้างหรือ!
ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้ท่านกับคุณหนูซูก็ยังไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน! หากเรื่องนี้มีผู้ใดล่วงรู้เข้า จะไม่ดีต่อคุณหนูซูและกับนายท่านด้วย! เรื่องนี้ไม่สามารถชะล่าใจได้เลย”อืม” ต้วนเฉินเซวียนยังคงอารมณ์ดีอยู่จึงงึมงัมออกมา “ทำไมหรือ หลิวจือมีอะไรจะพูดอะไรกับข้าหรือ” เมื่อเห็นสีหน้าร้อนรนเช่นนี้ เขาก็คิดว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่าง?
“อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรขอรับ…”หลิวจือเกาแขน “คือว่า…”
“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรก็เอาไว้ก่อน” เพราะตอนนี้เขายุ่งจะตายอยู่แล้ว เขาคล้ายจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่าซูเหลียนอวิ้นโกรธเขาเรื่องอะไร แต่ยังหาสาเหตุไม่เจอว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร!
หากยังหาสาเหตุไม่เจอ แล้วเขาจะกลับไปหาซูเหลียนอวิ้นได้อย่างไร เพราะหากกลับไปเจอหน้ากันอีกครั้ง เรื่องที่จะต้องเอ่ยถึงเป็นเรื่องแรกก็คงจะต้องเป็นเรื่องราวในวันนี้อีกอย่างแน่นอน
“นายท่านอย่าเพิ่งไปขอรับ!” หลิวจือรีบก้าวตามไป “นายท่าน วันนี้บ่าวเจอองครักษ์ประจำตัวของคุณหนูซูขอรับ!”
“เจอองครักษ์ของนางรึ”
“ใช่ขอรับ!” หลิวจือพยักหน้า “เป็นองครักษ์ที่เพิ่งมาใหม่ของคุณหนูซูขอรับ ตอนนั้นคนที่สะกดรอยตามพวกเราก็คือเขานั่นเอง”
ต้วนเฉินเซวียนขมวดคิ้วครุ่นคิด ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยออกมาว่า “เช่นนั้นเขาได้บอกหรือมีท่าทีว่าจะตามข้ามาหรือไม่”
“ใช่ๆๆ” หลิวจือคล้ายจะพยักหน้าจนคอหัก “ตอนนั้นคนผู้นั้นคล้ายว่าจะมาด้วยเรื่องนี้ แต่อย่างไรบ่าวก็ขวางเขาเอาไว้แล้ว”
“ฮ่าๆ” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าหัวเราะ “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปได้แล้ว”
ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าที่แท้ซูเหลียนอวิ้นเป็นอะไรกันแน่ ได้ ก็แค่ขนมบัวหิมะกุหลาบ พรุ่งนี้ไปอีกรอบหนึ่งก็สิ้นเรื่อง ……
“คุณหนูใหญ่ ซื้ออันนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เมื่อหลีมู่ก้าวเข้ามาในห้อง สายตาของนางก็ตกลงไปที่กล่องอาหารที่เปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่งใบนั้น “คุณหนู นี่มัน…มันละลายหมดแล้วนะเจ้าคะ!”
“ข้ามิได้เป็นคนซื้อมา” ซูเหลียนกล่าวตอบโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่บนกระดานหมากล้อม ขนมอันนี้ละลายตั้งแต่ตอนที่มันมาถึงแล้ว แค่ตอนนี้ละลายจนหมด หลีมู่มาก็ดีแล้ว เอาขนมอันนี้ไปทิ้งเถิด”
นางจะได้ไม่ต้องเห็นให้อารมณ์เสียอีก! แค่นางมองเห็นมัน นางก็คิดถึงคำพูดที่ผูหลิวรายงานให้นางฟังแล้ว!
หรือว่าเถ้าแก่น้อยของร้านอู่เซียงเก๋อจะเป็นต้วนเฉินเซวียนจริงๆ! นี่มัน…! นางจะพูดอะไรได้อีก คงจะพูดได้เพียงว่า มิน่าเล่าตอนที่นางไปต่อแถวซื้อขนมที่ร้านอู่เซียงเก๋อ ไม่ว่าแถวจะยาวแค่ไหน แต่สุดท้ายนางก็ได้ขนมที่นางต้องการทุกครั้ง และนางกลับไม่ได้สังเกตว่าเรื่องนี้มันมีเงื่อนงำบางอย่าง?
ในตอนนั้น ทุกครั้งที่นางต่อแถวซื้อขนม ต้วนเฉินเซวียนอาจจะแอบหัวเราะอยู่ด้านข้างก็ได้ เขาคงหัวเราะที่นางไปต่อแถวซื้อขนมที่ร้านของเขาเพื่อเอามาให้เขา คงไม่มีอะไรสุดจะทนเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว!
แผนการของต้วนเฉินเซวียนช่างร้ายกาจนัก!
กล่าวได้ว่าตอนนี้ความคิดอ่านของซูเหลียนอวิ้นเปลี่ยนไปจากเดิมมาก! เพราะในเรื่องเดียวกันนี้หากเกิดขึ้นเมื่อชาติก่อน นางอาจจะรู้สึกตื่นตันใจ! ตื้นตันใจที่เขาได้เตี๊ยมกับร้านอู่เซียงเก๋อเอาไว้ว่าทุกครั้งที่นางไปต่อแถวซื้อขนม นางจะต้องได้ขนมติดมือกลับไป
แต่พอเป็นตอนนี้? ความคิดอ่านของนางกลับซับซ้อนขึ้น นางกลับรู้สึกว่าต้วนเฉินเซวียนกำลังเอานางเป็นตัวตลก เห็นว่าเป็นเรื่องสนุก มิเช่นนั้นแล้วทั้งๆ ที่รู้ว่านางต้องเข้าแถวด้วยความยากลำบากเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่บอกว่าร้านนี้เป็นร้านของตัวเองเล่า ร้ายจริงๆ…
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู!” อีกด้านหนึ่งหลีมู่ร้องเรียกนางด้วยความตื่นตระหนก “คุณหนูอย่ามัวแต่เล่นหมากล้อมอยู่เลย หากไม่ระวังแล้วทำเล็บหักขึ้นมาจะทำอย่างไร!” เมื่อครู่นี้ตนกำลังเก็บโต๊ะอยู่จึงไม่ได้สังเกตคุณหนูใหญ่ไปพักหนึ่ง สุดท้ายคุณหนูกลับเหม่อลอยไปได้อีก
เฮ้อ! ไม่รู้จริงๆ ว่าช่วงนี้คุณหนูคิดอะไรอยู่บ้าง ราวกับว่าคุณหนูมีเรื่องอะไรให้คิดอยู่ตลอดเวลา
“ฮะ อ่อๆ” ซูเหลียนอวิ้นวางหมากรุกในมือลงไปในกระดานแบบส่งๆ แล้วหายใจเข้าลึกๆ “ไม่มีอะไร แค่เมื่อครู่นี้ข้าคิดถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาอีก…ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” จู่ๆ นางก็นึกถึงต้วนเฉินเซวียนขึ้นมาอีกแล้ว! นางยอมตัวเองเลยจริงๆ ไม่ระวังความคิดตัวเอง เหตุใดความคิดของนางจึงต่างไปจากเดิมได้?
ซูเหลียนอวิ้นโมโหจนเอามือทั้งคู่ตบที่แก้มตัวเองเบาๆ เพื่อพยายามดึงสติตัวเองกลับมา ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป นางจะกลับไปเป็นซูเหลียนอวิ้นผู้ที่คิดถึงต้วนเฉินเซวียนอยู่ตลอดเวลาแบบนั้นอีก
ซึ่งจะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้! ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าเพื่อให้ตัวเองได้สติขึ้นมา เพราะไม่ง่ายเลยกว่านางจะมีสติแบบนี้ จะให้การกระทำเล็กน้อยของต้วนเฉินเซวียนมาทำให้นางหวั่นไหวอีกได้อย่างไร?
จิตใจมนุษย์ยากจะคาดเดา การแสดงออกเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนมีผลต่อจิตใจของนางจริง แต่ต้องเอาไปเปรียบเทียบถึงจะเห็นว่าอะไรเป็นอะไร!
เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับเรื่องราวที่นางเคยทำให้เขาในอดีต สิ่งที่ต้วนเฉินเซวียนทำให้นางตอนนี้ถือว่าเป็นส่วนที่เล็กน้อยมาก ถึงแม้ว่าเขาอยากไถ่โทษ แต่ก็ยังมีเรื่องราวมากมายที่ต้องทำอีก!
หลังจากซูเหลียนอวิ้นจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นแล้วนั้น นางก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นางรู้สึกตัวเบาขึ้นมาก!
แม้ว่าผลสุดท้ายแล้วนางอาจจะแก้ไขเรื่องที่นางจะต้องแต่งงานไม่ได้ แต่คนเราก็ต้องรู้จักหาความสุขให้ตัวเอง เพราะต่อให้แต่งงานไปแล้วก็สามารถหย่าได้ รอให้เยียลี่ว์เยี่ยนกลับไปก่อน ตอนนั้นค่อยดูอารมณ์ของนางอีกที
วันรุ่งขึ้น ณ จวนจิ้งอันโหว
“นายท่าน เหตุใดถึงตื่นเช้าขนาดนี้…” เมื่อหลิวจือได้ยินคล้ายว่าลานบ้านมีเสียงการเคลื่อนไหว เขาก็รีบพลิกตัวลุกขึ้นวิ่งออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อออกไปจึงเห็นว่าเจ้านายของตนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วคล้ายกำลังจะออกไปที่ใดสักที่?
แต่การแต่งตัวของเขา…ก็ไม่ใช่การแต่งตัวออกไปว่าราชการ? เพราะคนจะออกไปราชการแต่งตัวอย่างนี้เสียที่ไหนกันเล่า? แต่หากไม่ได้ออกไปงานราชการแล้ว เช้าขนาดนี้…นายท่านจะออกไปที่ใดกัน!