ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 234 ชุดสำเร็จ
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 234 ชุดสำเร็จ
“น้องหญิง ด้านหน้าก็ถึงร้านอู่เซียงเก๋อแล้ว เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่” ซูมั่วเยี่ยเลิกม่านขึ้น แล้วชะเง้อออกไปมองร้านอู่เซียงเก๋อที่ตั้งอยู่ด้านหน้า “อวิ้นเอ๋อร์หากเจ้าอยากกินอะไร ข้าจะได้ส่งคนไปเข้าแถวที่นั่น หากมัวแต่รอเจ้าเลือกของอยู่แถวคงยาวมาถึงตรงนี้แน่”
“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นใช้โอกาสที่ซูมั่วเยี่ยเปิดม่านชะเง้อหน้าออกไปมองด้านนอก ทว่าหลังจากมองเสร็จแล้ว นางก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดที่นางเตรียมอยากจะพูดลงไป
เพราะตอนแรกนางคิดจะตอบออกไปว่ากินอะไรก็ได้ แต่หากต้องการจะซื้อจริงๆ ก็ซื้อขนมเปี๊ยะไส้ชาเขียวถั่วแดงก็แล้วกันเพราะแม้ว่าขนมชนิดนี้อาจจะเป็นขนมธรรมดาๆ แต่หากเป็นฝีมือของพ่อครัวของร้านอู่เซียงเก๋อแล้ว ขนมธรรมดาๆ กลับจะกลายเป็นขนมที่นางโปรดปราณขึ้นมาทันที
แต่…แม้ว่านางอยากจะกินสักเท่าไร พอเห็นแถวแล้วนางคิดว่ายอมแพ้จะดีกว่า นางลืมไปได้อย่างไรว่าวันนี้เป็นวันที่ร้านอู่เซียงเก๋อเปิดขายชุดขนมบัวหิมะ! หากรู้แต่แรกนางคงส่งคนมาเข้าแถวจองแต่เช้าแล้ว พอมาถึงมาเวลานี้…เกรงว่าไม่ว่าขนมบัวหิมะชุดใดก็คงขายไปหมดแล้วกระมัง
“น้องหญิง เจ้าดูคนผู้นั้นสิ…” ซูมั่วเยี่ยหรี่ตาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “นั่นใช่…? คุ้นตายิ่งนัก! “
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกำลังคิดวนเวียนเพราะรู้สึกเซ็งเรื่องที่ตัวเองไม่ยอมให้คนมาต่อแถวเพื่อซื้อขนมตั้งแต่แรก เมื่อซูมั่วเยี่ยขัดจังหวะขึ้นก็ทำให้อารมณ์ของนางหันเหไม่คิดเรื่องนั้นอีก ซึ่งก็ถือว่าดีกับนางเหมือนกัน
“คนไหน?” ซูเหลียนอวิ้นมองตามมือของพี่ชายตัวเองไป สุดท้ายผู้ที่นางมองเห็นกลับเป็นต้วนเฉินเซวียนที่กำลังเบียดเข้าแถวอยู่ในฝูงชน!
“ท่านพี่” ซูเหลียนอวิ้นพยายามหายใจเอาอากาศเข้าไป “ข้าคิดว่าพวกเราคงมิได้มองผิดหรอกเจ้าค่ะ” นั่นคือต้วนเฉินเซวียนไม่ผิดอย่างแน่นอน
“เขาจะเป็นท่านโหวแล้วแท้ๆ จำเป็นต้องมาต่อแถวซื้อขนมด้วยตัวเองหรือ” ซูมั่วเยี่ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าต้วนเฉินเซวียนคิดอะไรอยู่กันแน่ “ช่วงนี้จวนจิ้งอันโหวก็ไม่มีอะไรนี่…?” คงไม่ถึงกับหาคนมาต่อแถวแทนไม่ได้กระมัง!
ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะตอนนี้สายตาของนางกำลังจดจ้องไปยังทิศทางของต้วนเฉินเซวียนอย่างไม่กระพริบตา
“น้องหญิง?” เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นว่าซูเหลียนอวิ้นกำลังเหม่อลอยก็ไม่รู้จะเอ่ยเตือนนางว่าอย่างไรดีจึงพูดเบาๆ ขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราจะไปที่ร้านตัดเสื้อเลยหรือว่า…?”
เมื่อเห็นท่าทางของน้องสาวตัวเองตอนนี้แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าต่อให้ไปถึงร้านตัดเสื้อแล้วจะสงบจิตสงบใจเลือกชุดได้หรือไม่
จิตใจของนางคงจะลอยมาอยู่ที่นี่และตกอยู่ตรงนี้ไม่ยอมไปไหน!
“ไปเถิด” ซูเหลียนอวิ้นปิดม่านลง “ข้าก็แค่ดูเพราะความแปลกใจเท่านั้น ดูจบแล้วก็พอ ไปเถิดไปร้านตัดชุดกันเจ้าค่ะ หากไปถึงช้าเสื้อผ้าคงจะถูกคนอื่นเลือกไปหมดแล้ว”
เมื่อซูมั่วเยี่ยได้ยินซูเหลียอวิ้นเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ว่าอะไร เขาเพียงยื่นมือออกมาลูบผมของซูเหลียนอวิ้น และมองที่ซูเหลียอวิ้นเงียบๆ ด้วยสายตาอ่อนโยน
ซูเหลียนอวิ้นซึมซับความอบอุ่นจากมือของซูมั่วเยี่ยอยู่เงียบๆ นางรู้ว่าพี่ชายของตนไม่อยากบีบคั้นนาง ความใส่ใจของซูมั่วเยี่ยทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายลงได้ เพราะตอนนี้ในหัวสมองของนางกำลังคิดเรื่องๆ อื่นอยู่
เรื่องนั้นก็คือที่ต้วนเฉินเซวียนทำเช่นนี้เพื่อต้องการจะพิสูจน์อะไรอยู่หรือ ซุเหลียอวิ้นครุ่นคิดในใจ เพราะนางเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้วนเฉินเซวียนคิดจะทำอะไรกันแน่
หรือว่าเขาจะเข้าใจความหมายของนางในวันนั้นแล้ว? แต่นางยังมิได้พูดอะไรออกไปเลย? แต่แม้ว่าจะไม่พูดออกไปเป็นคำพูด แต่ในใจของนางรู้สึกเช่นนั้นอย่างแน่นอน!
“น้องหญิง ถึงแล้ว” ไม่นานนัก ซูมั่วเยี่ยจึงเลิกม่านรถม้าขึ้นแล้วก้าวลงจากรถม้าไปก่อนจากนั้นจึงยื่นมือออกมารับ “ลงมาเถิด”
“อืม เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นเมื่อได้สติจึงพยักหน้าแล้วจับมือของซูมั่วเยี่ย จากนั้นจึงค่อยๆ เดินลงจากรถไป
“น้องหญิงชอบตัวไหนก็เดินออกมาบอกพี่ก็แล้วกัน เอาที่เจ้าชอบน่ะ” ซูมั่วเยี่ยพาซูเหลียนอวิ้นเดินไปมาอยู่ในร้านมารอบหนึ่งแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถหาชุดที่นางชอบได้จริงๆ หรือชุดที่เหมาะสมกับนาง เลยสักชุด สุดท้ายเขาจึงต้องยอมแพ้แล้วให้ซูเหลียอวิ้นเป็นคนเลือกเอง
เพราะในความคิดของซูมั่วเยี่ยนั้น เสื้อผ้าที่จัดวางอยู่ในร้านนี้ล้วนเป็นเสื้อผ้าสำเร็จ แม้ว่าจะเป็นแบบใหม่ และดูดี ทว่าสุดท้ายแล้ว…มันก็ยังคงเป็นเสื้อผ้าสำเร็จเท่านั้น! ไม่ใช่ชุดที่ถูกสั่งตัดขึ้นมาเพียงชุดเดียว จึงทำให้คุณภาพของมันดูลดต่ำลง
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะดูอย่างไรล้วนรู้สึกว่าตรงนั้นตรงนู้นมีตำหนิหรือมีข้อบกพร่องอย่างละเล็กละน้อย อีกอย่างไม่ว่าจะลองอย่างไรก็ไม่เข้ากับซูเหลียนอวิ้นเลยสักนิด
ส่วนซูเหลียนอวิ้นนั้นกลับไม่ได้พิถีพิถันขนาดนั้น เสื้อผ้าสำเร็จแล้วอย่างไร เพราะหากเปลี่ยนมุมมองคิด เสื้อผ้าสำเร็จต่างหากที่สามารถสวมใส่ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลารอ ดังนั้นหากเปรียบเทียบกับเสื้อผ้าที่สั่งทำพิเศษแล้วนั้น เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ต้องเสียเวลารอ ซึ่งก็ถือว่าดีมากไม่ใช่หรือ
“เถ้าแก่เนี้ย เอาตัวนี้และก็ตัวนี้ห่อกลับให้ข้า” ซูเหลียนอวิ้นยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ชุดสองชุดอย่างไม่ใส่ใจ
“ได้เจ้าค่ะ คุณหนู” เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ปากหวาน จากนั้นจึงหยิบชุดที่ซูเหลียนอวิ้นชี้สองชุดไปห่ออย่างคล่องแคล่ว เนื่องจากคนค้าขาย หากไม่ปากหวานหรือพูดเก่งๆ หน่อย จะทำให้ลูกค้าชอบใจจนควักเงินออกจากกระเป๋าอย่างเต็มใจได้อย่างไร
“น้องหญิง ไม่เอาอย่างอื่นเพิ่มแล้วหรือ” เมื่อซูมั่วเยี่ยเห็นท่าทางซูเหลียนอวิ้นไร้อารมณ์เช่นนี้จึงเริ่มขมวดคิ้ว “ที่นี่น่าจะยังมีของอีกไม่น้อยที่พวกเรายังดูไม่หมดกระมัง เหตุใดเจ้าจึงเลือกสองชุดนี้”
“ก็ได้…” ซูเหลียนอวิ้นพยายามฝืนยิ้มรอยยิ้มแข็งทื่ออกมา “อย่างนั้นพวกเราดูกันใหม่ก็ได้” เสื้อผ้าที่เรือนมีเยอะแยะจนนางใส่ไม่หมดแล้ว ต่อให้จวนแม่ทัพของเราจะไม่ขาดแคลนเงินทองแต่เราจะใช้เงินแบบนี้ไม่ได้!
เมื่อนางเห็นพี่ชายของตัวเองควักถุงเงินออกมาอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมา! แน่นอน ทำไมคุณหนูทองพันชั่งอย่างนางต้องรู้สึกปวดใจกับเรื่องอย่างนี้ด้วย นั่นเป็นผลที่เกิดสืบเนื่องมาจากเมื่อชาติที่แล้วนั่นเอง!
เนื่องจากเมื่อชาติก่อน อันเพ่ยอิงต้องการที่จะจำกัดการหนีออกไปเที่ยวของซูเหลียนอวิ้น นางจึงจำกัดการใช้เงินแต่ละเดือนของซูเหลียนอวิ้นอย่างเข้มงวด! เพราะหากนางออกไปเที่ยวโดยไม่มีเงิน แล้วนางจะเที่ยวได้อย่างไร!
ดังนั้นเงินเดือนของซูเหลียอวิ้นในตอนนั้นจึงได้รับเพียงหนึ่งตำลึงเท่านั้น
หนึ่งตำลึง คุณหนูเรือนไหนจะได้เงินเดือนน้อยเพียงนี้อีก? เรื่องนี้หากพูดออกไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อแน่! แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่จวนซูจริงๆ!
เนื่องจากผู้ที่ควบคุมทรัพย์สินของบ้านหลังนี้จริงๆ คืออันเพ่ยอิง ดังนั้นต่อให้ซูปั๋วชวนกับซูมั่วเยี่ยจะอยากช่วยเหลือทางการเงินซูเหลียนอวิ้นมากแค่ไหนก็เกรงว่าคงทำได้เพียงแค่คิดแต่จนปัญญาจะลงมือ! ยิ่งไปกว่านั้นซูเหลียนอวิ้นในตอนนั้นจะกล้าเอาหน้าที่ไหนไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพวกซูปั๋วชวน