ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 239 สีหน้า
ตอนที่ 239 สีหน้า
“เฮอะ” ซูเหลียนอวิ้นพ่นลมเบาๆ ออกจากปลายจมูก จากนั้นจึงเดินช้าๆ โดยไม่มีท่าทางรีบร้อนไปด้านข้างอันเพ่ยอิงเพื่อดูให้ชัดเจน”เจ้ายืนดูอยู่ตรงนั้นจะเห็นชัดหรือ” ต้วนเฉินเซวียนยกมือขึ้นแล้วดึงแขนซูเหลียนอวิ้นเข้ามาข้างๆ ตัวเอง “เจ้าต้องมาดูตรงนี้ถึงจะมองเห็น!”
“ท่าน!” ซูเหลียนอวิ้นตกใจจนสะดุ้งแต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก
เพราะสถานการณ์ตอนนี้ ต้วนเฉินเซวียนแทบจะโอบซูเหลียนอวิ้นเอาไว้ในอกของเขาอยู่แล้ว เพียงขยับตัวเล็กน้อยหรือไม่ก็เงยหน้าขึ้นก็จะสบตากับต้วนเฉินเซวียนอย่างจังอีกอย่างตอนนี้ยังอยู่ต่อหน้าอันเพ่ยอิงอีกด้วย นางย่อมไม่อาจมีท่าทางปฏิเสธออกไปได้ เพราะหากนางแสดงความรังเกียจหรือไม่ชอบต้วนเฉินเซวียนมากเกินไป นางมั่นใจอยู่ถึงแปดส่วนว่าอันเพ่ยอิงจะต้องเข้าใจว่านางไม่แยแสการแต่งงานครั้งนี้อย่างแน่นอน!
มิเช่นนั้นแล้วนางคงไม่ปฏิเสธเช่นนี้? จากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนี้…เกรงว่าคงยุ่งยากกว่านี้อย่างแน่นอน แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกอย่างก็ต้องปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไป ดังนั้นต่อให้นางงอนก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรกระมัง ด้วยเหตุนี้ซูเหลียนอวิ้นจึงขัดขืนอยู่อยู่เพียงพักหนึ่ง จากนั้นจึงล้มเลิกการขัดขืนนั้นและใช้น้ำเสียงที่ได้ยินเพียงพวกเขาสองคนเอ่ยว่า “ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นแล้วข้าจะกระทืบท่าน”
“ไม่ปล่อย” ต้วนเฉินเซวียนไม่เพียงไม่ยอมแพ้ แต่เขายิ่งเอาแขนของตนดึงนางเข้ามากระชับตัวมากขึ้นอีก “หากเจ้าอยากกระทืบข้าก็ทำเลย ไม่ต้องมาบอกข้า อีกอย่างหากเจ้าจะกระทืบข้า ข้าก็หวังว่าเจ้าจะกระทืบอย่างเต็มแรงที่สุด ข้าจะได้อยู่รักษาอาการบาดเจ็บที่จวนตระกูลซูต่อ ดียิ่ง!”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
นางรู้อยู่แล้วเชียว! หากเอ่ยถึงความกวนประสาทและหนังหน้าหนาๆ นั้น ผู้ใดจะสู้กับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางผู้นี้ได้ นางไม่ควรพูดหรือเจรจาอะไรกับเขาทั้งนั้น! อยากทำอะไรก็ควรลงมือเลย นั่นคงจะดีกว่ามาก!
อันเพ่ยอิงสังเกตปฏิกิริยาของซูเหลียนอวิ้นกับเขาอย่างเงียบๆ พลางอมยิ้มเล็กน้อย เพราะในสายตาของนางนั้น แบบนี้แหละดีแล้ว!
ในตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนคือคนที่จะอยู่เคียงข้างกับลูกสาวสุดรักสุดหวงของตนไปตลอดชีวิต อีกทั้งชีวิตของคนเราก็ยาวไกลนัก หากไม่มีความรู้สึกรักและผูกพันเลยแม้เพียงสักเล็กน้อย นั่นคงจะเป็นชีวิตที่น่าเบื่อและโดดเดี่ยวมากทีเดียว
ดังนั้นการที่ต้วนเฉินเซวียนกับซูเหลียนอวิ้นมีความรู้สึกต่อกันหรือว่ากำลังฟูมฟักความผูกพันระหว่างกันอยู่นั้น แน่นอนว่าตนย่อมอยากเห็นภาพเช่นนี้
“ซี้ด!” ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจเอาลมเย็นๆ เข้าไป ทว่าแขนของเขายังคงไม่ยอมปล่อย “เจ้ากล้าทำข้าจริงๆ !” และการกระทืบนี้ยังไม่มีการออมแรงไว้เลยเสียด้วย! เมื่อออกแรงโดยรวบรวมมาจากภายในเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บไม่น้อย
ซูเหลียนอวิ้นไม่ใส่ใจน้ำเสียงโอดครวญของต้วนเฉินเซวียนแล้วเอ่ยออกมาว่า “ยังไม่ยอมปล่อยอีกรึ ขืนยังไม่ยอมปล่อยข้าอีก ข้าจะกระทืบท่านอีกที”
“อวิ้นเอ๋อร์…” ตอนนี้น้ำเสียงของต้วนเฉินเซวียนเหนื่อยหน่ายอย่างยิ่ง “ข้าเจ็บเท้าพอแล้ว…และเจ็บมากด้วย!”
“สมน้ำหน้านัก!” ซูเหลียนอวิ้นพยายามใจเย็นลง นางห้ามพลาดท่าอย่างเด็ดขาด เนื่องจาก…ต้วนเฉินเซวียนเป็นคนที่ฝึกฝนเรื่องเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กจนไม่มีผู้ใดสู้ได้! ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับต้วนเฉินเซวียนเช่นนี้ นางต้องพยายามเตือนตัวเองให้รอบคอบมากอย่างยิ่ง!
“วันนี้ตอนที่ข้าไปต่อแถวซื้อขนมให้เจ้า ข้าโดนคนที่เข้าแถวอยู่ข้างหน้าเหยียบเท้ามาแล้ว ดังนั้นการที่เจ้ากระทืบซ้ำอีกจะยิ่งทำให้อาการหนักเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนไม่พยายามบอกว่าตัวเองเจ็บปวด แต่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ร้านอู่เซียงเก๋อวันนี้ให้ฟังแทนเป็นฉากๆ
ในเมื่อซูเหลียนอวิ้นเข้าใจเขา เช่นนั้นเขาก็บอกได้เช่นกันว่าเขาเองก็เข้าใจซูเหลียนอวิ้นเช่นกัน! คนอย่างซูเหลียอวิ้นต้องใช้ไม้อ่อนห้ามใช้ไม้แข็ง หากอยากให้นางมีท่าทีอ่อนลงคงต้องใช้ไม้อ่อนเท่านั้น!
และก็เป็นจริงตามคาด เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเช่นนี้ ร่างกายของนางก็คล้ายอ่อนแรงลง
เนื่องจาก…บาดแผลทั้งสองครั้งนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับนางทั้งคู่! เพราะหากนางไม่เกิดความคิดพิเรนทร์บอกว่าอยากให้ต้วนเฉินเซวียนไปต่อแถวแล้วล่ะก็…ต้วนเฉินเซวียนก็คงส่งคนในจวนของตนสักคนไปต่อแถวแทน คงไม่ถึงขนาดต้องไปคอยเบียดเสียดกับคนที่นั่นเช่นนั้น…แถมยัง…เฮ้อ…
“อวิ้นเอ๋อร์เจ้าลองดูสิว่ามีแบบไหนที่เจ้าชอบหรือไม่ หากไม่มี ข้าจะได้สั่งให้คนออกแบบเพิ่มให้” ต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าสบโอกาสดีก็ไม่เอาแต่เอ่ยเรื่องเท้าเจ็บอะไรอีกต่อไป และแน่นอนว่าเขายังคงไม่ปล่อยซูเหลียนอวิ้นออก!
ความสนใจของซูเหลียนอวิ้นถูกเบี่ยงเบนไปเพียงชั่วครู่จึงไม่ได้สนใจเรื่องอื่นอีกและมุ่งความสนใจไปยังจดหมายเชิญเหล่านั้นพลางเทียบดูทีละอัน
ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยได้ดูจดหมายเชิญที่ต้วนเฉินเซวียนส่งมาให้เหล่านั้นอย่างคร่าวๆ แล้ว เขาจึงเตรียมจะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อบอกเล่าความคิดเห็นของตัวเอง แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ภาพแรกที่เขาเห็นคือต้วนเฉินเซวียนกำลังกอดน้องสาวของเขาอยู่!
ซูมั่วเยี่ยโมโหจนเลือดพุ่งพล่านไปทั่ว! เพราะนี่คือที่จวนตระกูลซู! ตอนนี้ยังอยู่ในสายตาของเขาอยู่เลย แต่ยังกล้า กล้าทำอวดดีถึงขนาดนี้ด้วยการปฏิบัติกับน้องสาวของเขาตนเช่นนี้?! นี่มันช่าง ช่างกล้าดีเกินไป!
“ต้วน…” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยกระฟัดกระเฟียดออกมาเพียงหนึ่งพยางค์และวางแผนว่าจะเข้าไปจับสองคนนี้แยกออกจากกัน แต่คำพูดที่เตรียมจะพูดนั้นกลับถูกขัดขวางกะทันหัน
เนื่องจากตอนที่เขาเพิ่งจะตะโกนคำนั้นออกไป สายตาที่คมปราดราวมีดของอันเพ่ยอิงก็จ้องเขม็งมายังเขา
ความหมายในสายตาของอันเพ่ยอิงคือ หากเจ้ายังกล้าปากมากออกมาแม้แต่คำเดียว รอดูแล้วกันว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร
ตอนนี้ซูมั่วเยี่ยรู้สึกว่าตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก! เรื่องนี้เขาทำอะไรผิดหรือ! เห็นชัดๆ ว่าไอ้ต้วนเฉินเซวียนนนั่นคิดไม่ซื่อ ไม่เพียงแต่แตะเนื้อต้องตัวน้องสาวสุดที่รักของเขาเท่านั้น แต่แม่แท้ๆ ของเขายังโดนซื้อตัวไปด้วยเลย
เห็นชัดๆ ว่าตอนนี้เขาอ่อนต่อโลกเกินไป!
ซูมั่วเยี่ยได้ข้อสรุปออกมาด้วยตัวเองว่า ความสามารถของเขายังน้อยเกินไป! เพราะหากเปรียบเทียบกับวาทศิลป์และความสามารถในการยกยอชื่นชมสตรีของต้วนเฉินเซวียนแล้ว คนที่ไม่ชอบเจรจาเช่นเขาถือว่ายังห่างไกลอยู่มาก!
ดังนั้นตอนนี้อย่าเพิ่งลงมืออะไรเพิ่มเลยจะดีกว่า เพราะหากลงมือ…จะไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้นมารดาของตนจะไม่ผลักไสเขาไปอยู่ที่ค่ายทหารที่ไกลออกไปอีก! ดังนั้นตอนนี้คอยดูลาดเลาห่างๆ ก่อนดีกว่า รอให้ซูปั๋วชวนกลับมาก่อน พวกเขาสองคนค่อยปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี!
เพราะซูมั่วเยี่ยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคำพูดของซูปั๋วชวนจะต้องยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเขาอย่างแน่นอน เขาจะต้องไม่โดนต้วนเฉินเซวียนซื้อตัวไปได้อีกคนอย่างแน่นอน!
“ลูกว่าเอาสองสามแบบนี้ก็แล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นเลือกสองสามแบบที่ตัวเองรู้สึกว่าไม่เลวออกมา “ลูกรู้สึกว่าสองสามแบบนี้ใช้ได้หากมองจากรูปแบบและตัวอักษร”
ซูเหลียนอวิ้นเอี้ยวตัวเตรียมจะส่งจดหมายแบบที่ตัวเองต้องการให้อันเพ่ยอิงดูเพื่อตัดสินใจ ทว่าระหว่างที่นางเอี้ยวตัวนั้นก็หันไปเห็นใบหน้าของซูมั่วเยี่ย!
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านเป็นอะไรไป เหตุใดสีหน้าจึงดูไม่ได้เช่นนี้”