ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 241 ชุดแต่งงาน
ตอนที่ 241 ชุดแต่งงาน
“ซูเหลียนอวิ้น!”
“เอ๊ะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และกำลังเตรียมจะไปที่เรือนหน้าอยู่นั้น กลับมี…คนที่ไม่อาจทนรอนางได้อีกต่อไปพุ่งตัวเข้ามาหานางถึงในห้อง
“เหวินเสี่ยว?” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าเบาๆ “เจ้ามาหาข้ามีเรื่อง…ด่วนหรือ ดูเจ้าร้อนใจขนาดนี้…”
หลินเหวินเสี่ยวไม่ได้สนใจอะไรมากนัก นางก้าวเข้ามาแล้วคว้าไหล่ทั้งสองของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้จากนั้นจึงเอ่ยว่า เหลียนอวิ้น เจ้า เจ้าจะแต่งงานแล้วหรือ”
ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “อืม”
“คุณพระ!” หลินเหวินเสี่ยวทำราวกับรับเรื่องนี้ไม่ได้จึงยกมือขึ้นกุมหน้าอกแล้วถอยไปข้างหลังสองสามก้าว “นี่มันกะทันหันเกินไปหรือไม่! อีกอย่าง…ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีวี่แววอะไรออกมาเลย! นี่พวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือไม่! เจ้าใจดำเกินไปแล้ว!”
ซูเหลียนอวิ้นโบกมือปฏิเสธ “เรื่องนี้มันเกิดกะทันหัน เข้ามาคุยกันก่อนเถิด ด้านนอกร้อนจะแย่”
“อืมๆ” หลินเหวินเสี่ยวโวยวายอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเข้าไปด้านในห้องแล้วก็สงบลงแล้วเอ่ยถามต่อไปว่า “อย่างนั้นเจ้าคิดอะไรอยู่ หากแต่งงานไปแล้ว การที่ข้าจะแวะมาหาเจ้านั้นคงไม่ง่ายแล้ว” เนื่องด้วยตอนนี้มีคนจากเมืองเยียลี่ว์อยู่ที่ต้าชั่ว ดังนั้นหลายๆ ชมรม ไม่ว่าจะเป็นชมรมบทกลอนหรือว่าการละเล่นหลายๆ อย่างจึงไม่มีการจัดขึ้น
และเมื่อได้ยินว่าคนกลุ่มนี้จากเมืองเยียลี่ว์กำลังจะกลับไปและเมืองหลวงจะกลับมาคึกครื้นเช่นเดิมแล้ว ผลสุดท้ายกลับมีข่าวการแต่งงานของซูเหลียนอวิ้นออกมาอีก? นี่มัน…หลินเหวินเสี่ยวเศร้าใจ แต่แน่นอนว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เนื่องจากผู้ที่เป็นเพื่อนเล่นกับนางในเมืองหลวงแห่งนี้นั้นมีไม่มากนัก แต่งงานไปคนหนึ่งก็เท่ากับว่าลดไปคนหนึ่ง อีกอย่างพอแต่งงานไปแล้ว แม้จะบอกว่ายังอยู่ที่เมืองหลวง แต่เวลาส่วนใหญ่แล้ว…ก็คงจะได้แต่อยู่ในเรือนของตัวเองและไม่สามารถออกมาเที่ยวเล่นได้ เพราะการเป็นนายหญิงจะต้องคอยดูแลความเรียบร้อยตลอดเวลา และเรื่องที่นางจะต้องทำก็คงจะมีมากทีเดียว
“วางใจเถิด อยากจะมาหาข้าเมื่อไหร่ก็มาได้เลย” ซูเหลียนอวิ้นรินชาดับร้อนให้หลินเหวินเสี่ยวแก้วหนึ่ง “ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในเมืองหลวง ไม่ได้แต่งไปอยู่ที่ไหนไกล ก็แค่จากเดิมที่เจ้าต้องมาตระกูลซูก็เปลี่ยนเป็นไปที่จวนจิ้งอันโหวแทนก็เท่านั้น จำทางให้ได้ก็พอแล้ว”
“ก็ได้…” หลินเหวินเสี่ยวอ้าปากค้างสุดท้ายกลับเอ่ยออกมาได้เพียงสองคำนี้ อันที่จริงแล้วสิ่งที่นางอยากจะพูดคือ หากเป็นจวนของท่านโหว…กฏระเบียบต่างๆ คงจะเยอะมากกว่ามิใช่หรือ หากเป็นเช่นนั้น เหลียนอวิ้น เจ้าจะยังออกมาเที่ยวเล่นได้อีกหรือ
แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจพูดออกมาได้ เพราะเพื่อนตนยังไม่ได้แต่งงานเลย ควรพูดคำพูดน่าเศร้าใจเช่นนี้แล้วหรือ นั่นจะทำให้ไม่เป็นมงคลเสียเปล่าๆ!
จากนั้นคนทั้งสองก็คุยเล่นกันอยู่สักพักจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลง หลินเหวินเสี่ยวจึงลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้เพื่อเตรียมจะกลับไป “เช่นนั้นข้าขอกลับก่อนนะ!”
“อืมๆ อย่าคิดมากนะ!” ซูเหลียนอวิ้นเก็บโต๊ะจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้ม “ตัวข้ายังอยู่ที่เมืองหลวง! ดังนั้นเจ้ารีบยิ้มให้ข้าเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นแล้วถึงตอนที่ข้าแต่งงานจริง หากเจ้ายังมีท่าทางไม่มีความสุขเช่นนี้อีก ข้าจะไม่ต้อนรับเจ้า!”
“อืม ก็ถูกของเจ้า!” หลินเหวินเสี่ยวพยักเพยิด “แต่เหลียนอวิ้น เจ้าจะต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าต่อให้เจ้าแต่งงานเข้าจวนท่านโหวแล้ว อะไรที่ควรจะเป็นก็ควรเป็น อย่าได้ทำให้ตัวเองต้องลำบากใจก็พอ! ที่เมืองหลวงแห่งนี้ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”
ซูเหลียนอวิ้นรู้ดีว่าคำพูดนี้ของหลินเหวินเสี่ยวเป็นการคิดแทนตัวนางด้วยความจริงใจ เนื่องจากมารดาแท้ๆ ของหลินเหวินเสี่ยวเป็นผู้หนึ่งที่หลังจากแต่งงานไปแล้วก็กลายเป็นคนที่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามทุกอย่าง และก็ปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอย่างไร้ความสุขจนเป็นเช่นนั้นไป
ดังนั้นการที่หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยเช่นนี้นั้นคงจะเป็นเพราะว่าต้องการจะเตือนนางเป็นนัยๆ ก็เท่านั้น
“ข้ารู้อยู่แล้ว” ซูเหลียนอวิ้นสูดจมูก นางเริ่มรู้สึกว่านางคัดจมูกของตัวเอง “มีคนอย่างพวกเจ้าคอยสนับสนุนข้าอยู่ ข้ายังจะต้องกลัวอะไรอีกเล่า”
“ก็ดี พบกันครั้งหน้าก็คงจะเป็นวันแต่งงานของเจ้าแล้วกระมัง” หลินเหวินเสี่ยวไม่ชำนาญการพูดคำพูดซึ้งตรึงอารมณ์แต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อนางเห็นซูเหลียนอวิ้นเป็นเช่นนี้แล้ว นางก็เริ่มรู้สึกว่าอยากจะจากไปจากตรงนี้โดยเร็ว “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ซูเหลียนอวิ้นโบกมือลา จากนั้นจึงเริ่มเก็บของที่ตนกับหลินเหวินเสี่ยวเล่นไว้เกลื่อนกราดให้เป็นระเบียบ
“แม่นางคนนี้ซุกซนยิ่ง”
มือของซูเหลียนอวิ้นที่เก็บของอยู่หยุดชะงัก แต่นางกลับไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ไหนว่าก่อนแต่งงานไม่ควรเจอหน้ากันอีก แล้วเหตุใดท่านจึงมา” ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเริ่มคุ้นชินกับการปรากฏตัวอย่างลับๆ ล่อๆ อยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไปของต้วนเฉินเซวียนเสียแล้ว
และดูเหมือนว่าคนที่อยู่เรือนแห่งนี้โดยมากแล้วก็คงคุ้นชินแล้วเช่นกัน! เดิมทีเวลาที่ต้วนเฉินเซวียนมา ทุกคนจะพูดปฏิเสธอย่างอ้อมๆ โดยบอกว่าตนกำลังพักผ่อนอยู่ เพื่อให้เขาไม่เข้ามาข้างใน แต่พอถึงตอนนี้เล่า?
แต่ตอนนี้น่ะหรือกลับบอกต้วนเฉินเซวียนว่าคุณหนูกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ ท่านเข้าไปนางก็ไม่รู้ตัวหรอก
พวกทรยศทั้งนั้น!
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ห้ามไม่ให้พวกเราเจอหน้ากัน” ใบหน้าของต้วนเฉินเซวียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างที่ข้ามาครั้งนี้เพราะข้ามีธุระ!”
“เมื่อวานท่านก็พูดเช่นนี้” เมื่อเก็บโต๊ะเสร็จ ซูเหลียนอวิ้นก็ถอนใจอย่างเหลืออด ราวกับว่าเหนื่อยจะเจรจากับต้วนเฉินเซวียนเสียแล้ว
เพราะหากพูดถึงฝีปาก นางตอบโต้สู้คนผู้นี้ไม่ได้จริงๆ อีกอย่างคำว่ามีธุระของต้วนเฉินเซวียนนั้น ซื้อของมาให้ก็เรียกว่ามีธุระเช่นกัน แถมยังเรียกว่ามีเรื่องใหญ่อีกด้วย ดังนั้นตอนนี้เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำว่ามีเรื่องใหญ่สองคำนี้ นางกลับรู้สึกชินชาไปเสียแล้ว
“ชุดเจ้าสาวเย็บเสร็จแล้ว เจ้าอยากลองดูหรือไม่ว่าเป็นอย่างไร”
“ได้สิ” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบ “แล้วชุดอยู่ไหนเล่า” เนื่องจากสตรีทุกคนย่อมสนใจเรื่องเสื้อผ้าอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะชุดเจ้าสาวยิ่งเป็นเรื่องที่จะไม่ใส่ใจไม่ได้เลย
ดังนั้นซูเหลียนอวิ้นรอมานานแล้วเช่นกันว่าชุดเจ้าสาวตัดออกมาแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง นางจะได้ลองใส่ดู หากมีจุดไหนที่นางไม่พอใจ นางจะได้รีบสั่งแก้ได้ทันที
“ข้าไม่ได้เอามา” ต้วนเฉินเซวียนแบมือออก “เพราะชุดเจ้าสาวชุดหนึ่งนั้นมีตั้งหลายอย่าง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ของตั้งมากมายขนาดนั้น หากให้ข้าถือมาคนเดียวทั้งหมดคงไม่ไหว”
“แล้วอย่างไรเล่า…?” ซูเหลียนอวิ้นหรี่ตาแล้วมองเขาอย่างระแวดระวังพลางถอยหลังไปสองสามก้าว “ท่านคิดจะพูดว่าอะไร” ท่าทางของต้วนเฉินเซวียนตอนนี้มองแล้วคล้ายมีเจตนาร้ายบางอย่าง! นางรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะระแวดระวังเอาไว้ก่อน!
“ดังนั้นเจ้าก็ต้องไปกับข้าอย่างไรเล่า มิเช่นนั้นเจ้าจะลองใส่ได้อย่างไร”
“แล้วทำไมท่านไม่หอบชุดมาด้วยเล่า ข้าจะได้ลองที่นี่เลย ถึงอย่างไรถึงเวลานั้นก็ต้องใส่จากที่บ้านข้าแล้วค่อยเดินทางออกไปไม่ใช่หรือ”
“ก็วันนี้เพิ่งทำเสร็จอย่างไรเล่า ข้ากลัวว่าเจ้าจะรอไม่ไหวก็เลยรีบมาหาเจ้า ข้าจึงลืมไป”
ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกหงุดหงิดใจ เพราะใจหนึ่งนางก็อยากลองชุดเจ้าสาวที่เพิ่งตัดเสร็จ! ใจหนึ่งที่นั่นก็เป็นพื้นที่ของต้วนเฉินเซวียน ชาติที่แล้วนางก็เคยไปที่นั่น… ดังนั้นนางจึงรู้สึกหวั่นใจอย่างบอกไม่ถูก