ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 249 เป็นลม
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 249 เป็นลม
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นเกาอู่เตี๋ยทำท่าโมโหก็รู้สึกขำอยู่ในใจ เพราะท่าทางเช่นนี้คล้ายกับต้วนเฉินเซวียนมากทีเดียว มิน่าเล่าคนถึงชอบพูดกันว่าคนที่ต้วนเฉินเซวียนคล้ายมากที่สุดคือไม่ใช่จางเจาหวาแต่เป็นเกาอู่เตี๋ย น้าของเขาต่างหาก
“โธ่ นี่ก็ถูกแล้วนี่!” เกาอู่เตี๋ยยื่นมือออกมาแล้วลูบผมดำขลับของซูเหลียนอวิ้น “จะว่าไปแล้วพวกเจ้าคงยังไม่ได้กินอาหารกลางวันใช่หรือไม่ อยู่กินกันที่นี่กันเลยก็แล้วกัน กินเสร็จแล้วค่อยกลับกันก็ได้”
“ไม่ดีกว่าเสด็จอา” ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้น “วันนี้ข้าว่าจะพาซูเหลียนอวิ้นไปเดินเล่น ส่วนเรื่องอาหารพวกเราค่อยไปหากินกันข้างนอกก็ได้”
เมื่อเกาอู่เตี๋ยได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเช่นนี้ นางกลับไม่โกรธ นางเพียงเอ่ยว่า “ก็ดี พวกเจ้าทั้งสองคนกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันกันอยู่ ข้าเป็นคนนอกคงไม่ดีหากจะไปยุ่งกับพวกเจ้า พวกเจ้าสองคนอยากไปกินข้าวข้างนอกกันตามลำพังก็ไปกันเถิด เดี๋ยวข้าจะให้คนเอาของพวกนี้ไปส่งให้ที่จวนพวกเจ้าก็แล้วกัน”
“ขอบพระทัยเสด็จอาที่เข้าใจ”
“อืม ไปเถิด”
เมื่อออกพ้นประตูวังมาแล้ว ซูหลียอวิ้นก็เอ่ยถามคำถามที่คั่งค้างอยู่ในใจของนางมาเป็นเวลานานออกไปว่า “ต้วนเฉินเซวียน ความหมายขององค์ชายสามคืออะไร”
นางรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วสายตานั้นไม่ได้โจมตีมาที่นางเพียงเท่านั้น แต่ความไม่พอใจที่แฝงอยู่ส่วนมากนั้นเป็นเพราะต้วนเฉินเซวียนด้วย
แต่กับต้วนเฉินเซวียน…? พวกเขาทั้งสองคล้ายว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้างเล็กน้อยกระมัง ความสัมพันธ์นั้นคล้ายว่าจะมีความข้องเกี่ยวกับเกาอู่เตี๋ยที่เป็นอาของพวกเขาอยู่บ้าง ความสัมพันธ์เล็กน้อยนี้กลายเป็นความแค้นที่ลึกซึ้งไปได้อย่างไร
“ไม่ต้องสนใจเขา” บนรถม้า ต้วนเฉินเซวียนโอบซูเหลียนอวิ้นเข้ามาไว้ที่อกแล้วกระซิบข้างๆ หูว่า “ก็แค่คนไม่สำคัญคนหนึ่งที่ไม่ค่อยข้องเกี่ยวอะไรกับพวกเราเท่านั้น จะไปสนใจเขาทำไมกัน”
อืม! การกอดก้อนนุ่มๆ อย่างอวิ้นเอ๋อร์เอาไว้เป็นท่าทางที่สบายที่สุดแล้วจริงๆ
เช่นนี้แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูร้อน อาจทำให้รู้สึกร้อนอยู่บ้าง แต่โชคดีที่น้ำแข็งที่เอาใส่ไว้บนรถค่อนข้างมากจึงทำให้พอทนได้!
“นี่ จะคุยก็คุยกันดีๆ ปล่อยข้าได้หรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นพยายามใช้ข้อศอกของตัวเองกระทุ้งไปที่เอวของต้วนเฉินเซวียน นี่เขาเป็นโรคอะไรกัน เหตุใดถึงชอบถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้ อีกอย่างนี่มันฤดูร้อน…ความร้อนในตัวนางเพียงคนเดียวก็พอแล้ว นางไม่อยากให้มีเตาร้อนๆ อีกอันมากอดนางเอาไว้อีก!
“ไม่ได้ ข้ากอดเจ้าเช่นนี้ไม่สบายหรอกหรือ” ต้วนเฉินเซวียนรู้ตั้งแต่ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นขยับแขนตอนแรกแล้วว่านางจะทำอะไร ในตอนนั้นเขาจึงยิ่งกอดซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แน่นมากยิ่งขึ้น
“ต้วนเฉินเซวียน” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจ
“หืม ว่ามาสิ” เสียงงัวเงียของเขาที่ค่อนข้างทุ่มลึกดังขึ้นข้างหูนาง นั่นทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวแทบทนไม่ได้จนนางอาจยอมแพ้ได้ทุกอย่าง
“ข้ารู้สึกว่าท่านน่ารำคาญนัก!” ความแตกต่างระหว่างตอนนี้กับเมื่อชาติที่แล้วมันช่างต่างกันมาก มากเกินไปแล้ว! เมื่อชาติก่อนอย่าว่าแต่ต้วนเฉินเซวียนจะเข้ามากอดนางทุกที่ทุกเวลาเช่นนี้เลย แม้แต่ตอนที่นางเข้าใกล้เพียงแค่ครึ่งเมตร ร่างกายของเขาก็จะมีสัญญาณเตือนบางอย่างที่บอกว่าให้ออกไปไกลๆ นางกว่านี้หน่อย!
“นั่นแสดงว่าเจ้ายังไม่ค้นพบบางอย่าง แต่ค้นพบตอนนี้ก็ไม่สายนะ” เขาเองก็ยังไม่ได้ค้นพบในตอนแรกเหมือนกัน ว่าที่แท้แล้วการกอดใครสักคนหนึ่งมันรู้สึกดีขนาดไหน ความรู้สึกดีเช่นนี้มันทำให้เขาคิดถึงหน้าหนาวเสียแล้ว! หากกอดตอนหน้าหนาวคงจะสบายกว่านี้แน่!
“แต่ข้าร้อน…” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้ามองหลังคารถม้า “ท่านโหวต้วน ท่านไม่ร้อนรึ” นางเริ่มรู้สึกหลังของนางที่มีเหงื่อซึมออกมา!
“อืม…” จะฝืนใจพูดออกไปหรือว่าไม่ร้อน? แต่คำพูดนี้มันฝืนใจเขาเกินไปหน่อย ฝืนใจถึงขนาดที่ว่าคนอย่างต้วนเฉินเซวียนไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ทันที!
“กอดอีกหน่อยเดี๋ยวก็ชินไปเอง” ต้วนเฉินเซวียนยื่นมือเข้าไปในลิ้นชักที่อยู่ข้างๆ แล้วหยิบนิยายเรื่องสัพเพเหระทั่วไปออกมา “ข้าจะเล่าเรื่องให้เจ้าฟังก็ได้ เจ้าตั้งใจฟัง อีกประเดี๋ยวก็คงหายร้อน”
“ดี…” ซูเหลียนอวิ้นยกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาที่หน้าผาก เมื่อไหร่จะถึงที่หมายเสียทีนะ ไม่ใช่ว่ายังไม่ทันจะถึง ข้าวก็ยังไม่ได้กินแต่นางกลับเป็นลมแดดไปเสียก่อนนะ!
จวนองค์ชายสาม
“องค์ชาย มีข่าวมาจากสายสืบของเราพะย่ะค่ะ”
หนานกงหงเอามือไพล่หลังพลางเดินวนเวียนอยู่ในห้อง คิ้วของเขาขมวดแน่น ใบหน้าขอเขาหมองหม่น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินว่ามีข่าวใหม่มา หนานกงหงก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งราวกับมีรังสีแห่งความตื่นเต้นฉายออกมาจากตัวของเขา “รีบให้เขาเข้ามา” ข่าวนี้สำคัญอย่างยิ่ง เขาไม่อาจทนรอได้ต่อไปอีกแม้แต่วินาทีเดียว
การรอนั้น เขารอมานานเกินไปแล้ว! หากรอต่อไปเกรงว่าทุกอย่างคงจะสายเกินไปแล้ว!
“องค์ชายสาม เป็นอย่างที่ท่านเดาไว้เป็นส่วนใหญ่” ผู้ที่สวมใส่ชุดสีดำกำลังประสานมือคารวะ หลังจากคารวะหนานกงหงแล้วถึงจะเอ่ยออกมา “เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มีประเด็นที่น่าสงสัยอยู่จริงๆ บ่าวเจอตัวหมอตำแยที่ทำคลอดให้ฮองเฮาในปีนั้นแล้ว เพียงแต่ตอนนี้หมอตำแยผู้นั้นปากแข็งอย่างยิ่ง นางไม่ยอมสารภาพอะไรสักเรื่อง”
“เช่นนั้นคงจะต้องใช้วิธีการอื่นเพื่อเปิดปากของนางให้ได้” การสอบสวนนักโทษนั้น แต่ไหนแต่ไรการจะทำให้สารภาพได้ต้องข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัวซึ่งจะได้ผลกว่าการทรมานแต่เพียงร่างกายมากนัก
ดังนั้นในเมื่อการทรมานทางร่างกายใช้ไม่ได้ผลกับหมอตำแยผู้นี้ เช่นนั้นพวกเขาคงต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทนแล้ว
เมื่อหนานกงหงได้ยินว่ามีเรื่องราวลึกลับซ่อนอยู่ ร่างกายของเขาก็เริ่มโคลงเคลงเล็กน้อยถึงขั้นทำให้ไขมันที่อยู่บนร่างกระเพื่อม
“ภารกิจคือต้องให้นางสารภาพความจริงออกมาให้ข้ารู้ให้ได้!” เขาจะได้มีเวลาเตรียมการทุกอย่างแต่เนิ่นๆ
“พะย่ะค่ะ บ่าวเข้าใจแล้ว”
“น่าเสียดายตระกูลหยางนัก…” สายตาของหนานกงหงปรากฏความชั่วร้ายออกมา แม้ว่ามีดอย่างตระกูลหยางจะอันตรายไปหน่อย แต่อย่างไรก็เป็นมีดที่คมปราด หากใช้ดีๆ การจะเฉือนเนื้อลงไปสักสามนิ้วก็คงไม่ยากอะไร
น่าเสียดายที่พวกโง่อย่างตระกูลหยางไม่รู้จักซ่อนจุดอ่อนของตัวเองให้ดี เสด็จพ่อของเขาถึงจัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้! แต่จะว่าไปก็ถูกแล้ว เพราะต่อให้เสด็จพ่อของเขาไม่ลงมือ เขาเองก็คงไม่มีทางไว้ชีวิตกบฏพวกนี้อย่างแน่นอน
การที่พวกเขามีเพียงสนมกุ้ยเหรินที่ตั้งท้องแถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเด็กชายหรือหญิง ก็ทำให้พวกเขาเพ้อฝันว่าตัวเองจะก่อการทุกอย่าง แถมยังคิดจะทิ้งเขาด้วย? คิดจะเสร็จกิจฆ่าลาหรือ น่าขันยิ่งนัก!
สุดท้ายแล้วผู้ใดกันแน่คือลาที่ตายแล้วตัวนั้น กำลังจะฆ่าตัวเองให้ตายแท้ๆ ยังไม่รู้ตัว
“คนตระกูลหยางสมควรตายแล้ว” เมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าหนานกงหงยืนขึ้นเขาก็เอ่ยออกมา “คิดจะควบคุมข้า เป็นพวกเขาเองที่เดินหมากโง่ๆ เช่นนี้” อีกอย่างตอนสำคัญที่สุดยังคิดจะทิ้งองค์ชายอย่างเขาแล้วไปหาคนที่มีตำแหน่งคนอื่น
เฮอะ ไม่รู้อะไรเสียแล้วว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นฝ่ายโดนทิ้ง