ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 250 เรียกเข้าเฝ้า
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 250 เรียกเข้าเฝ้า
ชีวิตหลังการแต่งงาน ซูเหลียนอวิ้นเพียงรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนรังที่อยู่ นางอ่านหนังสือและเล่นหมากล้อมอะไรไปเรื่อยเปื่อย เพราะในแต่ละวันของนางนั้นมีเวลาว่างเหลือเฟือ!
งานบ้านอะไรต่างๆ ตระกูลต้วนถือเป็นเจ้าของที่แท้จริง ดังนั้นเมื่อรวมนางเข้าไปอีกคนก็เท่ากับว่ามีสมาชิกเพียงสี่คนเท่านั้น ดังนั้นหากให้นางต้องดูแลจริงๆ ก็คงง่ายเสียจนมีบัญชีเพียงแค่เล่มเดียว อีกอย่างตอนนี้ถือว่านางเป็นสะใภ้มือใหม่ นางจึงยังไม่ต้องรับผิดชอบงานบ้านต่างๆ โดยมีจางเจาหวาเป็นคนจัดการไปก่อน
แน่นอนว่าจางเจาหวาไม่ได้บอกว่าตัวเองจะยึดอำนาจการดูแลจวนโดยไม่ยอมวางมือเช่นนี้ไปตลอด ซึ่งก็หมายถึงไม่ยอมวางมือให้ซูเหลียนอวิ้น เพียงแต่ตอนนี้อำนาจของซูเหลียอวิ้นยังไม่มากพอจึงยังต้องหลบเลี่ยงไปเท่านั้น ในเมื่อนางเป็นคนเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างไรเอง ดังนั้นอยากใช้ชีวิตสบายๆ แค่ไหนก็ย่อมทำได้
ส่วนการควบคุมพฤติกรรมของบ่าวในจวนนั้น หากเทียบบ่าวในจวนโหวกับจวนอื่นๆ แล้ว พวกเขาล้วนเคร่งครัดในกฎระเบียบกว่ามากนัก ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาการดูถูกนางเรื่องที่นางเพิ่งแต่งเข้ามาและยังไม่มีบารมีมากพอ
เนื่องจากการแสดงความรักของต้วนเฉินเซวียนกับความโปรดปราณของจางเจาหวานั้นก็เป็นสิ่งที่อธิบายได้ดีที่สุดแล้วว่าลูกสะใภ้อย่างซูเหลียนอวิ้นผู้นี้เป็นที่รักของทุกคน ดังนั้นจึงไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นๆ จะคิดกับนางว่าอย่างไร
ส่วนบิดาของต้วนเฉินเซวียนนั้น แม้คล้ายว่าเขาจะเป็นคนที่สำคัญที่สุดในบ้าน แต่ตั้งแต่วันที่ซูเหลียนอวิ้นแต่งเข้ามาเขาก็ทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนมาตลอด ดังนั้นเขาจะรู้สึกอย่างไรก็ไม่สำคัญ
แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปได้หนึ่งเดือน ซูเหลียนอวิ้นถึงจะค่อยๆ ค้นพบว่า ต้วนเฉินเซวียน…เป็นคนที่ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหากคิดดูดีๆ แล้ว เขาน่าจะเป็นคนที่มีเวลาว่างคนหนึ่ง เพราะเขาเป็นคนที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกวันเขากลับดูเป็นคนที่ยุ่งวุ่นวายตลอดเวลา แต่แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะสงสัยเพียงใด นางก็เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจไม่ได้เอ่ยถามออกไป
นางคิดว่าหากต้วนเฉินเซวียนไม่ได้เป็นฝ่ายถามนางเอง นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องถาม เพราะหากเขาไม่เป็นฝ่ายบอกนางก่อน นั่นก็แสดงว่าเขาไม่อยากให้นางรู้ หากไปไล่ต้อนถามเขา นางจะได้คำตอบอะไร?
อาจจะได้คำตอบที่ตอบออกมาอย่างเสียไม่ได้ หรืออาจจะเป็นคำโกหกที่ผ่านการพิจารณามาแล้ว ดังนั้นการรู้ครึ่งไม่รู้ครึ่งเช่นนี้ นางเลือกที่จะไม่รู้ทั้งหมดเลยสักนิดจะดีกว่า!
ในหลายๆ ครั้งเราต้องไม่รีบร้อนจนเกินไป ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรล้วนต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“คุณ…อ้อ ไม่ใช่สิ ฮูหยินเจ้าคะ!” แม้ว่าตอนนี้จะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วแต่บางครั้งหลีมู่ก็ยังคงไม่สามารถเปลี่ยนวิธีการเรียกที่ตนคุ้นชินมากว่าสิบกว่าปีได้ โดยเฉพาะเวลาที่นางรีบ!
“ทำไมรึ มีเรื่องด่วนอะไร” ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นกำลังนั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้พลางเปิดนิยายสัพเพเหระในมือ จากนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า ท่าทางการนั่งของนางหากคนทั่วไปเห็นเข้าจะต้องพูดว่านางไม่มีมารยาทอย่างแน่นอนที่ไม่ยอมนั่งให้ดี
แต่ตอนนี้ไม่มีคนไม่ใช่หรือ อีกอย่างต่อให้เป็นต้วนเฉินเซวียนเอง เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรกับท่าทางการนั่งอย่างเกียจคร้านของนางเช่นนี้ เขาเพียงบอกว่าปกติแล้วนางทำตัวอย่างไรที่ตระกูลซู อยู่ที่นี่ก็ให้ทำตัวเช่นเดิมก็พอ ขอเพียงนางสบายที่สุด อีกอย่างในเรือนแห่งนี้ก็ไม่มีคนปากมากอยู่ด้วย
“ในวังหลวงมีคำสั่งออกมาว่าให้ฮูหยินเข้าวังเจ้าค่ะ” หลี่มู่พยายามเอ่ยอย่างใจเย็น “เป็นคนของฝ่าบาทมาบอกเอง ดังนั้นน่าจะเป็นฝ่าบาทที่อยากพบฮูหยิน”
“ฝ่าบาท?” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ วางหนังสือลงข้างกาย “หลีมู่ เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นฝ่าบาทไม่ใช่ฮองเฮา” เพราะ…ฝ่าบาท? อย่าว่าแต่นางเคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับฝ่าบาทเลย แม้แต่เจอตัวเป็นๆ สักครั้งนางยังไม่มีโอกาส
หากเป็นฮองเฮาอยากพบนาง นางยังพอเดาได้บ้างว่าเป็นเรื่องอะไร!
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” หลีมู่สายหน้า “บ่าวแน่ใจว่าเป็นฝ่าบาท” เพราะนางเองก็เคยตามซูเหลียนอวิ้นเข้าวัง ขันทีประจำตัวของฮองเฮาคือใครนางย่อมจำได้ ส่วนขันทีของลี่หยวนตี้คือใครนางก็จำได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
“ก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้น “ช่วยข้าเปลี่ยนชุดหน่อย” ทหารมาก็ใช้ขุนพลต้าน น้ำมาก็ใช้ดินรับ อย่ามัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยไปเองเลย สู้รีบไปพบหน้าเขาจะได้รู้ไปเลยว่าความจริงเป็นอย่างไร
“หลี่กงกง” เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา ซูเหลียนอวิ้นก็รีบเดินออกไปยังเรือนหน้า เมื่อเห็นหลี่กงกงกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ นางก็เชื่อในสิ่งที่หลีมู่บอกนางเมื่อครู่
คนผู้นี้คือขันทีข้างกายของลี่หยวนตี้อย่างแน่นอน นั่นคือหลี่มั่วหรือหลี่กงกง
แต่ว่าเพราะเรื่องอะไรกันถึงทำให้เขาต้องออกจากวังหลวงมาด้วยตัวเอง แค่ถ่ายทอดคำสั่งให้นางเข้าวังก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ นี่มัน…ใช้คนไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่กระมัง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าจริงจังมากเกินไปหน่อย
อีกอย่างจากคำพูดที่หลีมู่ถ่ายทอดให้นางฟังเมื่อครู่นี้ การเข้าวังครั้งนี้ คล้ายว่า…ต้องการจะเรียกนางเข้าไปเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะไม่ได้กล่าวถึงต้วนเฉินเซวียนเลย
แต่จะว่าไปตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนอยู่ที่ค่ายทหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ต้องการจะเลี่ยงไม่ให้ต้วนเฉินเซวียนรู้เพื่อจะเรียกตัวนางไปเพียงลำพัง
“หลี่กงกงรอนานแล้วเพคะ”
“ที่ไหนกัน” หลี่กงกงลุกขึ้นแล้วคำนับพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินโหว บ่าวเพียงรับคำสั่งจากฝ่าบาทที่อยากให้ฮูหยินเข้าเฝ้าเท่านั้นเอง”
“อืม…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าสองที จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองไปยังจางเจาหวาที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงเห็นว่านางไม่มีอะไรที่อยากจะกล่าวกับตน
เมื่อจางเจาหวาเห็นสายตาเคลือบแคลงใจของซูเหลียนอวิ้น นางก็เพียงส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการบอกว่านางเองก็ไม่รู้เรื่องเช่นกัน จากนั้นจึงยิ้มเพื่อเป็นการให้กำลังใจนางและเพื่อให้นางวางตัวอย่างผ่อนคลาย
“หลี่กงกง มิทราบว่าพอจะบอกได้สักหน่อยหรือไม่ว่าคราวนี้ที่ฝ่าบาททรงรับสั่งเรียกตัวข้านั้นด้วยเรื่องอันใด” เมื่อขึ้นรถม้าไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็ลองถามออกไป เพราะระยะทางจากจวนจิ้งอันโหวไปวังหลวงต้องใช้เวลาอย่างน้อยประมาณเกือบครึ่งชั่วยาว
ระหว่างทางนี้หากนางไม่รู้สถานการณ์เลยสักเล็กน้อย เช่นนั้นระยะทางเกือบครึ่งชั่วยามนี้คงจะทำให้นางร้อนใจมากเกินไปหน่อย
“ตอบฮูหยินโหว” หลี่กงกงยิ่งก้มตัวลงต่ำไปอีก “คือว่า…อันที่จริงแล้วบ่าวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ หากฮูหยินโหวอยากรู้จริงๆ คงจะต้องถามฝ่าบาทเองแล้ว ความคิดอ่านของฝ่าบาท คนอย่างบ่าวมิกล้าเดาส่งเดช” อันที่จริงแล้วหลี่กงกงก็อยากรู้เช่นกัน!
เพราะเช่นเดียวกับที่ซูเหลียนอวิ้นคิด แค่เรื่องถ่ายทอดคำสั่งเหตุใดจะต้องให้เขาออกมาด้วยตัวเอง ทว่าหากคิดอีกมุมหนึ่ง การที่ตั้งใจส่งเขาออกมานั้น นั่นถือเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!
ดังนั้นคำถามของซูเหลียนอวิ้นข้อนี้ เขาไม่กล้าตอบไปส่งๆ อย่างเด็ดขาด เพราะหากไม่ระวังตัวแล้วเขาถ่ายทอดคำพูดผิดๆ ไปล่ะก็ ความหมายผิดๆ นั้นจะก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตได้!
เมื่อซูเหลียนอวิ้นไม่ได้คำตอบอะไรจากหลี่กงกง ตอนนั้นนางก็หมดหวัง ขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมาแทน
นางเพียงรู้สึกว่า การไปเข้าเฝ้าครั้งนี้คงจะไม่ได้ผ่านไปง่ายๆ อย่างแน่นอน!