ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 264 ตัดสินใจแน่วแน่
ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 264 ตัดสินใจแน่วแน่
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นถอนใจแล้วยกมือขึ้นทาบอก “ฝ่าบาทไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ขอเพียงลี่หยวนตี้ไม่เป็นไร ใต้หล้าแห่งนี้ก็คงจะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อใต้หล้าไม่วุ่นวาย ชีวิตของพวกเขาก็จะผ่านไปอย่างสงบสุขเช่นนี้ต่อไปได้
“อืม ฝ่าบาทไม่เป็นอะไรแล้ว”
“แต่ดูเหมือนว่าท่านจะมีเรื่อง” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยต่อ “เฉินเซวียน ท่าทางของท่าน…ดูเหมือนคนมีปัญหาบางอย่าง” มิเช่นนั้นสีหน้าของเขาคงไม่ย่ำแย่เช่นนี้
“จริงหรือ” ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกถึงสายตาสงสัยใคร่รู้ของซูเหลียนอวิ้นที่มองมาแล้วลูบแก้มของตัวเอง “คงจะเหนื่อยเกินไป”
“ไม่ใช่ อย่างท่านไม่ได้เรียกว่าเหนื่อย” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกมาดึงตัวต้วนเฉินเซวียนนั่งลงที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้านาง “อย่างท่านเรียกว่ามีปัญหาในใจ คิดมากเกินไปจึงเป็นเช่นนี้!”
ท่าทางเหนื่อยของต้วนเฉินเซวียนเป็นอย่างไร ท่าทางมีปัญหาในใจของต้วนเฉินเซวียนเป็นอย่างไร มีหรือที่นางจะแยกไม่ออก ดังนั้นการที่ต้วนเฉินเซวียนใช้ข้ออ้างเช่นนี้ ในสายตาของซูเหลียนอวิ้นนั้นถือว่ามักง่ายเกินไปหน่อย!
“ฝ่าบาท…อยากให้ท่านรับตำแหน่งฮ่องเต้หรือ” ซูเหลียนอวิ้นเอียงคอแล้วเอ่ยอย่างลังเล นี่เป็นสิ่งที่นางเดาเท่านั้น แต่การเดานี้ไม่ใช่การเดามั่วๆ เพราะเรื่องที่จะทำให้ต้วนเฉินเซวียนกังวลได้ถึงเพียงนี้คงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน
แต่เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คืออะไร…? แน่นอนว่านางต้องเดาให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นซูเหลียนอวิ้นจึงเดาไปในทางนี้
“ข้าเดาถูกใช่หรือไม่…” ซูเหลียนอวิ้นแกะเกามือของตัวเองด้วยความกังวลอยู่ใต้โต๊ะ เพราะเมื่อนางเห็นสีหน้าต้วนเฉินเซวียนหลังจากได้ยินคำพูดของนางแล้ว นางก็รู้สึกว่า…สิ่งที่ตัวเองเดานั้นน่าจะไม่ผิดแน่…
“แล้วท่านตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป”
“ข้า…” แน่นอนว่าในใจของต้วนเฉินเซวียนนั้นไม่ยินยอมอย่างแน่นอน ทว่าท่าทางของลี่หยวนตี้ที่กำชับเขาก่อนจะตายนั้นเปรียบเสมือนเข็มที่ติดอยู่ในคอของเขา ที่กลืนไม่เข้าและคายไม่ออก
“ข้าไม่รู้” ต้วนเฉินเซวียนส่ายหน้าอย่างอับจนหนทาง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี
ซูเหลียนอวิ้นเพิ่งจะตั้งท้องกลับจะไม่มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนนางเสียแล้ว ดังนั้นหากไม่เกิดเรื่องราวนี้ขึ้นกับลี่หยวนตี้เกรงว่าวันทั้งวัน ต้วนเฉินเซวียนคงจะอยู่แต่ในจวนไม่ออกไปไหนแน่
แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับลี่หยวนตี้แล้ว เขาจึงไม่อาจวางตัวเป็นเพียงผู้ดูเหตุการณ์เท่านั้น แต่เขาต้องยื่นมือเข้าไปช่วยด้วย
ด้านหนึ่งคือครอบครัว อีกด้านหนึ่งคือประเทศ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะเลือกอย่างไรดี เพราะไม่ว่าจะเป็นด้านไหนล้วนสำคัญสำหรับเขาทั้งนั้น
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากจะจัดการยิ่ง…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นท่าทางอึดอัดใจไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรของต้วนเฉินเซวียน นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองจะเอ่ยปลอบใจเขาอย่างไรดี เพราะยิ่งปลอบใจมากเท่าไหร่ก็คงสู้ความเห็นที่มีประโยชน์ไม่ได้
ลูกของลี่หยวนตี้นั้นมีไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อยเกินไป ลูกสาวสองคน ลูกชายสามคน
แต่ในฝั่งลูกชายนั้น…องค์ชายสามหรือหนานกงหงถือว่าโดนปลดออกไปแล้ว องค์ชายเจ็ดหนานกงรุ่ยอยู่แต่ในวังหลังมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาถูกมารดาของเขาเลี้ยงดูมาจนไม่มีบารมีอยู่ในราชสำนักเลย สิ่งที่เขาสนใจในแต่ละวันนั้นก็มีเพียงเรื่องที่ข้องเกี่ยวกับบทกวีและรูปวาดเท่านั้น
การว่าราชการเป็นอย่างไร อย่าว่าแต่เขาจะอยากเข้าร่วมเองเลย ต่อให้ใช้แส้ตีเพื่อไล่ให้เขาไป หนานกงรุ่ยก็คงไม่ไปอยู่ดี เพราะในความคิดของหนานกงรุ่ยนั้น หากให้เขาทำแบบนั้นมิสู้ให้เขานั่งวาดรูปเพิ่มอีกสักสองรูปจะดีกว่า
ดังนั้นสำหรับหนานกงรุ่ยแล้ว…คงจะไม่มีปัญหาอะไรแอบแฝงอยู่ในใจอย่างแน่นอน
ส่วนองค์ชายที่เหลืออยู่อีกคนนั่นก็คือองค์ชายเก้าหรือหนานกงเช่อ แม้ว่าหนานกงเช่อจะเป็นคนฉลาดและถูกฮองเฮาเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กจึงถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ…อายุของเขาที่ถือว่ายังน้อยเกินไปนัก
ต่อให้นับอายุแบบ[1]ซวีสุ่ย เขาก็ยังเป็นเด็กที่มีอายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น
ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่เมื่อหนานกงหงรู้ว่าต้วนเฉินเซวียนคือลูกของลี่หยวนตี้อีกคน แถมยังมีความเป็นไปได้ที่ลี่หยวนตี้จะมอบบัลลังค์ให้แก่เขานั้น หนานกงหงจึงตัดสินใจวางแผนลอบปลงพระชนม์ขึ้นมาดื้อๆ เช่นนี้ เพราะหากต้วนเฉินเซวียนไม่ใช่ลูกของเขาแล้ว เมื่อปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ เช่นนี้แน่นอนว่าหนานกงหงจะต้องเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์คนต่อไป
เนื่องจากกว่าหนานกงเช่อจะโตขึ้น นั่นก็ต้องรออีกหลายปี อีกทั้งในเวลาอีกหลายปีนี้เกรงว่าหนานกงหงคงจะมีโอกาสมากมายให้ลงมือ
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลี่หยวนตี้จะกดดันให้ต้วนเฉินเซวียนสืบทอดบัลลังก์ต่อ เพราะหากต้วนเฉินเซวียนไม่ยอมสืบทอดบัลลังก์ต่อก็คงไม่มีตัวเลือกอื่นอีกแล้ว หากไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมกับเก้าอี้ตัวนี้ที่จะสยบไม่ให้แผ่นดินนี้ไม่ให้ระส่ำระสายได้ โจรร้ายและความวุ่นวายต่างๆ นานาจะต้องถาโถมเข้ามาอย่างแน่นอน
“เช่นนั้น…ท่านโหวต้วนก็…” ตอบรับลี่หยวนตี้ไปเถิด เพราะหากเทียบครอบครัวกับบ้านเมืองแล้ว ในความคิดของซูเหลียนอวิ้นนั้น นางคิดว่าบ้านเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า หากไม่มีบ้านเมืองแล้วจะมีครอบครัวของเขาอยู่ได้อย่างไร
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าคิดว่า…หนานกงเช่อเป็นอย่างไรบ้าง” ต้วนเฉินเซวียนไม่สนใจว่าซูเหลียนอวิ้นจะพูดอะไรแต่กลับถามสวนออกมา “หนานกงเช่อก็ถือเป็นโอรสของลี่หยวนตี้เช่นกัน ดังนั้นเขาก็มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดราชบัลลังค์ต่อไปเช่นกัน”
“เช่อเอ๋อร์?” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบต่อปริบๆ ราวกับไม่รู้ว่านางควรจะเอ่ยอะไรออกไปดี “แต่ แต่เขาเพิ่งจะอายุได้เพียงเจ็ดขวบเท่านั้น…” เด็กเจ็ดขวบจะไปสยบผู้ใดได้! ต่อให้เป็นองค์ชายแล้วอย่างไร หากไม่มีคนเคารพต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงจะเดินต่อไปได้อย่างอยากลำบากอยู่ดี
“ก็มีข้าอยู่ด้วยมิใช่หรือ” ต้วนเฉินเซวียนลุกขึ้นแล้วโอบซูเหลียนอวิ้นที่นั่งอยู่ “วันหนึ่งเข้าต้องเติบใหญ่ ดังนั้นก่อนที่เขาจะโต ข้าจะคอยช่วยเขาก็ได้ พอเขาโตขึ้นแล้วพวกเราก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก”
“เช่นนั้นท่านก็ต้องถามเขาด้วยว่ายินดีหรือไม่…” ซูเหลียนอวิ้นถอยตัวออกห่างเล็กน้อยเพราะนางรู้สึกร้อน
“หากท่านอายุเจ็ดขวบ แล้วมีคนมาบอกให้ท่านดูแลใต้หล้านี้ต่อ ท่านจะยอมหรือ” หากเป็นนาง นางก็ไม่ยอม! เพราะอายุเจ็ดขวบ…เป็นวัยที่นางกำลังเล่นสนุกได้อย่างสบายใจ จู่ๆ ก็ถูกดึงให้มารับที่หนักหนาเช่นนี้ นั่นคง…
“เขายอมแน่” ต้วนเฉินเซวียนยิ้มอย่างมั่นใจ “เชื่อข้าเถิด เวลาดึกมากแล้ว เจ้าเป็นแม่คนแล้ว เจ้าควรรีบนอนได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อน ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเช่อเอ๋อร์จะยอมรับ”
“อย่างไรเขาก็จะยอมรับ” และทันใดนั้นต้วนเฉินเซวียนก็อุ้มซูเหลียนอวิ้นไปนอนที่เตียงโดยที่นางยังไม่ทันตั้งตัวจากนั้นหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นาง
เจ้าเด็กหนานกงเช่อลองกล้าไม่ยอมรับดูสิ ถึงอย่างไรก็ไม่สนแล้วเพราะตอนนี้เหลือเพียงหนทางเดียวให้เดินแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สนทั้งนั้นว่าในหัวของเขาจะคิดอะไร จะยอมรับหรือจะไม่ยอมรับก็ตาม
สรุปแล้วทางเดียวที่เหลือ นั่นก็คือหนานกงเช่อต้องเป็นคนนั่งเก้าอี้ตัวนั้นต่อไป!
——
[1] ซวีสุ่ย การนับอายุโดยเริ่มนับตั้งแต่เด็กอยู่ในท้อง เมื่อเด็กคลอดออกมาจะนับเป็นหนึ่งขวบทันที