ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 265 อาการดีขึ้น
เมื่อต้วนเฉินเซวียนห่มผ้าให้ซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ นางก็หงุดหงิดขึ้น “ข้ายังคุยไม่จบเลย หากยังมีเรื่องติดค้างอยู่จะนอนหลับได้อย่างไร!” มีเรื่องราวอีกเป็นกองที่ยังคิดไม่ตกี่ยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้วจะเอาอารมณ์ที่ไหนไปนอน?
“ไม่ได้ หากพรุ่งนี้ท่านจะไปหาเช่อเอ๋อร์ ท่านต้องพาข้าไปด้วย!” เป็นเพราะว่าตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นตั้งครรภ์แล้ว นางจึงเกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีความรักในแบบของคนเป็นแม่ขึ้นมา
นางรู้สึกทนเห็นภาพที่ต้วนเฉินเซวียนบีบบังคับเด็กน้อยอย่างหนานกงเช่อไม่ได้ บางทีเขาอาจจะตอบรับทั้งๆ ที่ไม่ยินดีก็เป็นได้
“ได้ๆๆ” ต้วนเฉินเซวียนโบกมือพัดให้แสงเทียนรอบๆ ดับลง “ข้ารับปากเจ้าก็ได้ แต่ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์ก็ต้องรับปากข้าบ้างว่าจะรีบนอน ลูกน้อยคงอยากนอนตั้งนานแล้ว”
ซูเหลียนอวิ้น: เด็กอายุยังไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ ลูกยังไม่ทันดิ้นในท้องเลยด้วยซ้ำจะไปรู้สึกง่วงได้อย่างไร…อีกทั้งคนเป็นแม่ยังไม่ง่วงและตื่นเต้นอยู่เช่นนี้
……
เมื่อฟ้าสางต้วนเฉินเซวียนก็ลุกขึ้นตั้งแต่ยังเช้าตรู่ นั่นไม่ได้เป็นเพราะเรื่องอื่นใดแต่เป็นเพราะวันนี้เขาไม่อยากพาซูเหลียนอวิ้นเข้าวังจริงๆ
เพราะสถานที่อย่างเช่นวังหลวง ขนาดคนเป็นฮ่องเต้อย่างลี่หยวนตี้ยังพลั้งพลาดได้ ดังนั้นหากไม่ระวัง…เอาเป็นว่าในวังหลวงนั้นอันตรายเกินไป เขาไม่อาจวางใจพาซูเหลียนอวิ้นเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นได้
“ต้วนเฉินเซวียน ท่านตื่นเช้ายิ่ง ฮ่าๆ” ในตอนที่ต้วนนเฉินเซวียนเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมจะอาบน้ำสักหน่อยแล้วออกไปข้างนอกนั้น เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของซูเหลียนอวิ้นดังขึ้นจากด้านหลัง
“อวิ้นเอ๋อร์…เจ้าตื่นแล้วหรือ…” ต้วนเฉินเซวียนหันตัวกลับไปอย่างแข็งทื่อ นั่นเท่ากับว่าที่เขายอมตื่นแต่เช้าเช่นนี้ถือว่าเสียแรงเปล่า!
“ตื่นตั้งนานแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นนั่งแล้วพยักเพยิดหน้าขึ้นเพื่อมองต้วนเฉินเซวียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
เมื่อวานเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ทำให้ซูเหลียนอวิ้นนอนไม่ค่อยหลับอยู่เช่นนั้นทั้งคืน ดังนั้นในตอนเช้าวันนี้ขณะที่ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง ซูเหลียนอวิ้นก็รู้สึกตัวขึ้น
แต่ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นตื่นขึ้นมานั้น นางยังคงไม่พูดอะไรแต่แกล้งทำเป็นหลับต่อเพื่อดูว่าที่ต้วนเฉินเซวียนพยายามเดินเบาๆ นั้น เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ และก็เป็นอย่างที่นางเดาไว้ไม่มีผิด!
วันนี้ต้วนเฉินเซวียนวางแผนจะทิ้งนางและไม่พานางเข้าวังนั่นเอง! ทั้งๆ ที่เมื่อวานตกลงกันไว้อย่างดิบดีแล้ว น่าไม่อายเลยจริงๆ
“อวิ้นเอ๋อร์” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นสายตาเอาเรื่องของซูเหลียนอวิ้นก็เกิดใจอ่อนขึ้นมา “เจ้าก็เห็นแล้วว่าวังหลวงเป็นอย่างไร สถานที่อันตรายขนาดนั้น ข้าจะวางใจพาเจ้าเข้าไปด้วยได้อย่างไร”
“แล้วท่านจะดูแลข้าไม่ได้เชียวหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเบะปากแล้วใช้สายตาน่าสงสารจับจ้องไปที่ต้วนเฉินเซวียนอย่างไม่ยอมวางตา
“ข้า…”
“ท่านจะไม่ปกป้องข้าหรือ”
“ก็ได้อวิ้นเอ๋อร์” เป็นอีกครั้งที่ต้วนเฉินเซวียนจำเป็นต้องยอมนาง “อย่าวุ่นวายก็แล้วกัน คอยตามข้าก็พอ” หากเขาไม่ยอมพาซูเหลียนอวิ้นเข้าไปด้วย นั่นแสดงว่าเขายอมรับคำพูดของซูเหลียนอวิ้นที่ว่าเขาจะไม่ปกป้องนาง!
แต่เหตุใดเขาถึง…! สายตาเช่นนั้นของซูเหลียนอวิ้น อย่าว่าแต่จ้องเขาอยู่ตลอดเวลาเลย สายตาเช่นนั้นแค่เขามองเพียงคราเดียวก็ทำให้ใจละลายได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงน้ำเสียงน่าสงสารเช่นนั้นอีก
ตอนนี้เขาไม่อาจจะปฏิเสธนางได้ลงจริงๆ
“ตกลง” น้ำตาของซูเหลียนอวิ้นไหลออกมานั้นออกมาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นตอนที่หายไปย่อมหายไปเร็วกว่า “ตอนที่ข้าเปลี่ยนชุด ท่านห้ามแอบออกไปเด็ดขาด หากท่านกล้าแอบออกไปอีก…ท่านก็ลองดูก็แล้วกัน”
“ข้าจะกล้าได้อย่างไร…” ต้วนเฉินเซวียนกุมหน้าผากตัวเอง
เขารู้อยู่แล้วเชียวว่าซูเหลียนอวิ้นแสร้งทำท่าทางน่าสงสารอย่างนั้น! แต่…เฮ้อ ช่างเถิด ได้ยินมาว่าตอนที่สตรีตั้งครรภ์ คนเป็นแม่ต้องพยายามทำอารมณ์ให้ดีอยู่ตลอดเวลา!
มีแต่วิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่จะทำให้เด็กที่เกิดออกมาเป็นเด็กอารมณ์ดี ยิ่งโตยิ่งสวยได้ ดังนั้น…ตอนนี้ขอเพียงอวิ้นเอ๋อร์สบายใจก็เพียงพอแล้ว
“ไปเถิด” ไม่นานนัก ซูเหลียนอวิ้นก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
เนื่องจากซูเหลียนอวิ้นรู้ตัวว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นการออกไปข้างนอกครั้งนี้นางจึงไม่ได้แต่งหน้า แต่เพียงประดับเครื่องประดับศีรษะที่มีน้ำหนักเบาเพื่อให้ตัวเองดูไม่จืดชืดจนเกินไปเท่านั้น
ณ วังหลวง
หลังจากที่ผ่านการดื่มยาและฝังเข็มมาตลอดทั้งคืน พิษที่อยู่ในตัวลี่หยวนตี้ก็ถือว่าถูกควบคุมเอาไว้ได้แล้ว แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่อาจลุกออกจากเตียงได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็สามารถพูดได้โดยที่ไม่เหนื่อยมากนัก
“เสด็จอา”
“พวกเจ้ามากันแล้วหรือ” เมื่อคืนเกาอู่เตี๋ยไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะนางต้องช่วยหรงซู่ในการดูแลลี่หยวนตี้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการเช็ดตัว พลิกตัวหรือป้อนยา ขอแค่เป็นงานอะไรที่สามารถแบ่งเบาได้ เกาอู่เตี๋ยล้วนเป็นผู้รับผิดชอบทั้งนั้น
“สีหน้าของเสด็จอาไม่ค่อยดีนักนะเพคะ…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยออกไปอย่างเป็นกังวล เพราะนี่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งวันเท่านั้นแต่รอยคล้ำใต้ตาของเกาอู่เตี๋ยกลับปรากฏชัดเจนจนถึงขั้นสามารถมองเห็นได้แต่ไกล
“ข้าไม่เป็นไร” เกาอู่เตี๋ยสายศีรษะ “แต่อวิ้นเอ๋อร์กำลังท้องไส้ เหตุใดจึงมาที่นี่อีก ตอนที่กำลังตั้งครรภ์มีข้อห้ามตั้งมากมายที่ห้ามทำ”
“หม่อมฉันเป็นห่วงพระอาการของฝ่าบาท…” เวลาที่ซูเหลียนอวิ้นตื่นเต้น นางมักจะกุมมือของตัวเองเอาไว้ “หากหม่อมฉันไม่ได้มาดูพระอาการของฝ่าบาทว่าเป็นอย่างไรบ้าง หม่อมฉันคงไม่มีทางที่จะวางใจได้เพคะ”
“เจ้าเด็กคนนี้…” เกาอู่เตี๋ยถอนใจ “พระอาการของฝ่าบาทดีขึ้นมากแล้ว เจ้ามองเขาอยู่ตรงประตูนี้ก็พอแล้ว ในนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นยา หากเจ้าสูดดมมันเข้าไป อาจทำไม่สบายได้”
“เพคะ”
“เสด็จอา” ต้วนเฉินเซวียนเข้าไปดูอาการของลี่หยวนตี้ก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าอาการของลี่หยวนตี้ดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงเดินออกมา
“อาการของเสด็จอาดีขึ้นมากแล้ว”
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว เรื่องนี้ต้องขอบคุณซู่เอ๋อร์” เกาอู่เตี๋ยยิ้มด้วยใบหน้าขาวซีด อย่างน้อยๆ อาการของเขาตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในขั้นอันตรายทุกย่างก้าวเช่นเดิมแล้ว ดังนั้นตอนนี้เกาอู่เตี๋ยจึงวางใจในอาการของลี่หยวนตี้แล้ว
“พวกเราไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่นานนัก” ต้วนเฉินเซวียนดึงมือของซูเหลียนอวิ้น “เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน”
“กลับไปเถิด” เกาอู่เตี๋ยเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อไปส่งซูเหลียนอวิ้น แต่เป็นเพราะนางเหนื่อยล้ามากเกินไป ตอนที่นางยืนขึ้นมานั้นกลับต้องนั่งลงไปบนเก้าอี้เช่นเดิม “เจ้าดูแลอวิ้นเอ๋อร์ให้ดีก็แล้วกัน ที่นี่มีพวกเราคอยดูอยู่”
“เช่อเอ๋อร์?” ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นออกจากตำหนักของเกาอู่เตี๋ยไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นหนานกงเช่อกำลังแอบอยู่ที่มุมๆ หนึ่งด้วยท่าทางที่คล้ายว่ารออยู่ตรงนี้มานานแล้ว
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เมื่อครู่นางเพิ่งบอกว่าตัวเองกำลังจะไปหาหนานกงเช่อ แต่เพียงนางเลี้ยวออกมาได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอเขาอยู่ตรงนี้เสียแล้ว