ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 267 ความคิด
“เหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้” หนานกงเช่อยืดหลังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ซูเหลียนอวิ้นเจ้าถามคำถามเช่นนี้ ถือว่าเสียมารยาทไปหน่อยหรือไม่” ตอนนี้ลี่หยวนตี้ยังแข็งแรงดีอยู่ หากมีคนมีเจตนาไม่ดีมาได้ยินบทสนทนาระหว่างซูเหลียนอวิ้นกับเขาแล้วเอาคำพูดพวกนี้ไปใส่ไฟอีกหน่อยตอนรานงานลี่หยวนตี้จะทำอย่างไร
“คำถามนี้สำคัญมาก” น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางเอ่ยต่อไปว่า “เช่อเอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่คนโง่ ในทางกลับกันเจ้าเป็นเด็กฉลาดเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่เจ้าเห็นผู้คนมาล้อมตำหนักของฮองเฮาเอาไว้เช่นนั้น ข้าเดาว่า..เจ้าเองก็คงพอเดาได้กระมัง”
เมื่อหนานกงเช่อโดนสายตาที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ของซูเหลียนอวิ้นจ้อง ท่าทีของเขาก็เริ่มอ่อนลง เพราะเขาเองก็บังอาจเดาเช่นนั้นเหมือนกัน แต่คนที่เขาเดานั้นไม่ใช่ลี่หยวนตี้ เพราะหากเกิดเรื่องขึ้นกับลี่หยวนตี้ สถานที่ที่ถูกล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนาเช่นนั้นน่าจะไม่ใช่ที่พระราชวังหย่างซิน?
เหตุใดถึงเป็นตำหนักของเกาอู่เตี๋ยได้
ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้รอปฏิกิริยาจากหนานกงเช่อ นางเอ่ยต่อไปว่า “เจ้ามิได้สงสัยหรอกหรือว่าทำไมข้ากับต้วนเฉินเซวียนถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ นั่นเป็นเพราะเมื่อวานพวกเราเข้าวังเพื่อทานอาหารเป็นเพื่อนฮ่องเต้ แต่ว่าในมื้ออาหารนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งลงมือวางยาพิษ”
“วางยาพิษ?” น้ำเสียงของหนานกงเช่อสูงขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปหยิบถ้วยน้ำชาขึ้น ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะใส่ใจอยู่กับเรื่องนั้น “เป็นไปได้อย่างไร ใครกันที่คิดวิธีการเช่นนี้”
“เช่อเอ๋อร์ เจ้านั่งลงก่อน” ซูเหลียนอวิ้นดึงหนานกงเช่อมาให้ยืนอยู่ตรงหน้าตน “ทุกเรื่องย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้น เพียงแค่โอกาสจะขึ้นมากน้อยแค่ไหนก็เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นคนลงมือ…”
ซูเหลียนอวิ้นฝืนยิ้ม “คนผู้นี้ข้ากับท่านต่างรู้จัก ถือเป็นคนที่ท่านคุ้นเคยผู้หนึ่ง”
“คนที่ข้าคุ้นเคย?” หนานกงเช่อก้มหน้าแล้วกำมือแน่นพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อนึกถึงคนรอบตัวว่าใครที่มีความเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องนี้
ไม่นานนัก หนานกงเช่อก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิงถามระคนเหลือเชื่อ “ซูเหลียนอวิ้น…เจ้า เจ้าบอกข้ามาว่าคนผู้นั้นใช่หนานกงหงหรือไม่” เมื่อเอ่ยจบหนานกงเช่อก็หยุดหายใจอัตโนมัติราวกับว่ากำลังรอคำพิพากษา
“ใช่”
“จริงด้วย…” ราวกับหนานกงเช่อกำลังตกอยู่ในความรู้สึกระอายใจ ท่าทางของเขาดูไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
“เช่อเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าเป็นเขา” เพราะในตอนแรก ต้วนเฉินเซวียนกลับคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้ลงมือ แม้ว่าหนานกงเช่อจะอยู่ร่วมวังเดียวกับหนานกงหง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรทักษะการมองคนของหนานกงเช่อก็คงไม่มีทางเหนือกว่าต้วนเฉินเซวียนอย่างแน่นอน
“ข้า เมื่อหลายวันก่อน…ข้าเห็นเขาเดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ ห้องครัวของฮองเฮา” แต่ว่าในตอนนั้นเขาไม่ได้สงสัยอะไร เพราะการกระทำนั้นของเขาอาจจะกำลังทำไปเพื่อเอาใจเกาอู่เตี๋ยอยู่
การลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเพื่อมอบให้เกาอู่เตี๋ยนั้นฟังดูแล้วคล้ายว่าคนผู้นั้นมีความตั้งใจอย่างมาก ดังนั้นในตอนนั้นหนานกงเช่อเพียงนึกดูถูกหนานกงหงที่ใช้วิธีการเช่นนี้ในการประจบประแจง เขาจึงไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ในด้านอื่น
“อย่างนี้นี่เอง…” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วถอนใจอย่างหนักใจ
นี่คงเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง ทั้งๆ ที่มีคนเห็น แต่กลับไม่โดนเปิดโปงในตอนนั้น นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ไร้คำพูดอย่างแท้จริง
“หากตอนนั้นข้าสงสัยและเอะใจสักหน่อยก็คงดี!” ไม่ว่าจะอย่างไรหนานกงเช่อก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อรู้ว่าการละเลยของตัวเองทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกละอายใจขึ้นมา
“ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เมื่อซูเหลียนเห็นท่าทางเช่นนั้นของหนานกงเช่อก็รู้สึกสงสารจึงดึงเขาเข้ามากอดไว้ในอก “โชคดีที่ตอนนั้นฝ่าบาทกินอาหารพวกนั้นเข้าไปเพียงเล็กน้อย ดังนั้นตอนนี้จึงควบคุมพิษได้แล้ว ขั้นตอนถอนพิษต่อจากนี้…ก็คงไม่ยากเท่าไหร่แล้ว”
“จริงรึ…”
“จริง” ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบหูของหนานกงเช่อ เรื่องที่เป็นความผิดของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ควรเอามาลงที่เด็กคนหนึ่ง
“อวิ้นเอ๋อร์ พวกเจ้า…” ด้านนอก ต้วนเฉินเซวียนโดนแสงแดดแผดเผาจนเริ่มทนไม่ไหว ดังนั้นเรื่องการรักษาหน้านั้น เขาขอโยนทิ้งเอาไว้ข้างหลังก่อน เขาขอเพียงได้เข้าไปหลบแดดข้างในก็พอ
แต่เมื่อเข้ามากลับเห็นภาพที่เจ้าเด็กเมื่อวานซืนอย่างหนานกงเช่อกำลังซุกอยู่ในอกของซูเหลียนอวิ้น หากอยากได้รับความรักจากแม่ ในวังหลังของลี่หยวนตี้มีคนตั้งมากมาย เขาไปหาพระสนมสักคนมากอดก็ยังได้ เหตุใดต้องมากอดอวิ้นเอ๋อร์ของเขาเอาไว้แน่นเช่นนี้ด้วย
“อวิ้นเอ๋อร์ คุยกันไปถึงไหนแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนจับหนานกงเช่อดึงออกมาอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นยังลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาเพื่อนั่งข้างๆ ซูเหลียนอวิ้นอย่างแนบชิด ความหมายในการกระทำของเขานั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากนัก!
การกระทำเช่นนั้นของต้วนเฉินเซวียนทำเอาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจของซูเหลียนอวิ้นที่มีอยู่ในตอนแรกเหือดหายไปจนหมด นางเพียงกรอกตาแล้วเอ่ยว่า “ก็ดี แต่ว่าพวกเรากำลังคุยกันอยู่ ท่านอย่ามาหาเรื่องโดยใช่เหตุได้หรือไม่” ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจนั้นเป็นความรู้สึกที่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน
“หาเรื่อง?!” ต้วนเฉินเซวียนไม่ยอมรับ “ข้าทำเช่นนั้นที่ไหน! ข้ากำลังช่วยสอนให้เด็กคนนี้รู้จักโตก็เท่านั้น เขาโตขนาดนี้แล้วยังทำตัวราวกับตัวเองเป็นเด็กยังไม่อย่านมอย่างไรอย่างนั้น ควรพึ่งพาตัวเองได้แล้ว!”
เมื่อหนานกงเช่อเห็นสายที่แสดงออกถึงการเยาะเย้ยและตักเตือนอย่างชัดเจนของต้วนเฉินเซวียนก็ทำเอาน้ำตาของเขาที่ซึมออกมาในตอนแรกหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะท่าทางเมื่อครู่นี้ของเขาก็น่าอายเต็มทนแล้ว ขืนปล่อยให้ต้วนเฉินเซวียนเห็นเขาร้องไห้อีกล่ะก็…
เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องที่ต้วนเฉินเซวียนใช้ล้อเลียนเขาไปตลอดชีวิตแน่!
ซูเหลียนอวิ้นมองคนทั้งสองตรงหน้านาง พวกเขาไร้วาจา เพียงใช้แววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อมองกันและกันเช่นนั้น นางก็ถอนใจ
การที่ต้วนเฉินเซวียนว่าคนอื่นว่ายังไม่อย่านม นั่นก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาต่างหากที่เป็นเด็กยังไม่อย่านม ยังจะมีหน้ามาว่าผู้อื่นเช่นนี้อีก! เพราะพฤติกรรมของเขานั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าอ่อนต่อโลกกว่ามาก
“ช่างเถิด ข้าไม่ถือสาเด็กเมื่อวานซืนคนนี้” การใช้สายตาเชือดเฉือนกันนั้นไม่มีความหมาย ลงมือกันจริงๆ ต่างหากที่จะปลุกปั่นได้มากกว่า
ต้วนเฉินเซวียนยกมือขึ้นโอบไหล่ขวาของซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้อวิ้นเอ๋อร์คงถามเจ้าแล้วกระมังว่าเจ้าอยากเป็นฮ่องเต้หรือไม่ แต่อวิ้นเอ๋อร์ก็คืออวิ้นเอ๋อร์ ข้าก็คือข้า ข้าจะไม่ถามเจ้า ข้าแค่จะมาแจ้งเจ้าเท่านั้นว่าใต้หล้าแห่งนี้ เจ้าจงเตรียมตัวรับไม้ต่อเอาไว้ให้ดี”
“เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ กินข้าวในวังหลวงมาก็หลายปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องออกแรงบ้างแล้ว ถูกหรือไม่”
หนานกงเช่อไม่เอ่ยอะไร เขาเพียงจ้องเขม็งไปที่ต้วนเฉินเซวียน ท่าทางไร้ความรู้สึกของเขานั้นทำให้ยากจะคาดเดาได้ว่าในใจของเขาตอนนี้กำลังมีความคิดเช่นไร