ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 269 ตอนจบ
หนึ่งปีผ่านไป
“ฝ่าบาท ตอนนี้พระดำเนินสะดวกแล้วหรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้ว” มือทั้งสองข้างของลี่หยวนตี้จับโต๊ะเอาไว้แล้วเดินช้าๆ ไปทีละก้าว เกาอู่เตี๋ยยืนอยู่ด้านหลังและมองเขาด้วยสายตากังวลที่อยากจะเข้าไปประคองเขาแต่ไม่กล้าที่จะยื่นมือออกไป
“ฝ่าบาท วันนี้พระดำเนินมานานแล้วนะเพคะ” เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นท่าทางเหนื่อยหอบของลี่หยวนตี้ขึ้นมาก็รีบเอ่ยปากออกไป “วันนี้เอาไว้เท่านี้ก่อนดีหรือไม่ ซู่เอ๋อร์และหมอหลวงต่างกำชับเอาไว้แล้วว่าทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปจะรีบร้อนไม่ได้”
“ก็จริง” ลี่หยวนตี้ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาเพราะใช้พลังงานมากเกินไปในวันนี้ “ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว นับว่าอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“ใช่เพคะ” เกาอู่เตี๋ยเข้าไปประคองลี่หยวนตี้ไปนอนที่เตียง
ตั้งแต่วันนั้นที่ลี่หยวนตี้โดนลอบวางยาพิษจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมาหนึ่งปีโดยไม่ทันรู้ตัว เวลานั้นล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วนัก
“วันนี้เช่อเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อพักผ่อนไปได้ครู่หนึ่งแล้ว เรี่ยวแรงของลี่หยวนตี้ก็กลับคืนมาดังเดิม “คงไม่มีข้อผิดพลาดอะไรกระมัง” หลังจากที่เขารู้ว่าผู้ที่จะมาดูแลใต้หล้าต่อจากเขาเป็นหนานหงเช่อไม่ใช่ต้วนเฉินเซวียน เขาก็หัวเสียไปพักใหญ่
นั่นเป็นเพราะตัวลี่หยวนตี้เอง…ยังบอกว่าตัวเองไม่ค่อยเชื่อในตัวหนานกงเช่อ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงเช่อกับบิดาของตนไม่ค่อยลึกซึ้งเท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้ลี่หยวนตี้จึงไม่ค่อยมีความเข้าใจในตัวหนานกงเช่อนัก
ดังนั้นในความคิดของลี่หยวนตี้นั้น การให้เด็กอายุเจ็ดขวบมาปกครองแผ่นดินถือเป็นเรื่องไร้สาระอย่างยิ่ง ราวกับกำลังจะผลักต้าชั่วทั้งแผ่นดินตกลงไปอยู่ในเหว!
แต่สิ่งที่เศร้าก็คือ ไม่ว่าลี่หยวนตี้จะคัดค้านอย่างไร หรือจะไม่เห็นด้วยแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่า…เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดี
เนื่องจากลี่หยวนตี้ในตอนนั้น พิษได้กระจายไปทั่วร่าง แม้กระทั่งตัวเขายังไม่อาจยืนขึ้นได้เองด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้เขาอยาลงมือทำอะไรก็ทำได้เพียงจินตนาการเท่านั้น
ส่วนหนานกงหงนั้น ในช่วงเวลานี้เขาก็ได้ทำในสิ่งที่คนทั่วไปคาดไม่ถึง หากตัดสิ่งที่เขาลงมือทำออกไปแล้วล่ะก็ เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ร้อนแรงมากเรื่องหนึ่ง
เรื่องนั้นก็คือ หนานกงหงกัดลิ้นตัวเองตายในคุก
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของทุกคน เพราะทุกคนต่างรู้ในความรักชีวิตของหนานกงหง ดังนั้นการฆ่าตัวตายไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ดูเหมือนว่าจะเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เรื่องกลับเกิดขึ้นเช่นนี้เสียแล้ว
แต่การตายของหนานกงหงนี้กลับทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น นั่นเป็นเพราะวิธีการถอนพิษรวมถึงการทำยาพิษขึ้นมานั้นคล้ายว่ามีเพียงหนานกงหงเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้
เมื่อเขาตายก็คล้ายว่าเรื่องราวนี้ยิ่งไร้หนทางออก ดังนั้นเมื่อลองคิดไล่เรียงดูแล้ว…ก็ทำให้เข้าใจถึงสาเหตุการการฆ่าตัวตายของหนานกงหง
ในเมื่อรู้ว่าอย่างไรตัวเองคงหลีกหนีความตายไม่พ้น ดังนั้นหากต้องตายก็ขอลากผู้อื่นไปตายด้วยกัน
“ลูกของเซวียนเอ๋อร์คลอดออกมาได้หลายวันแล้วกระมัง” เมื่อลี่หยวนตี้นึกเรื่องนี้ออกก็เอ่ยปากถาม “แต่ข้ายังไม่เคยได้เห็นหน้าเลย เป็นชายหรือหญิงข้าก็ยังไม่รู้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะพามาให้ข้าได้เห็นหน้าบ้าง …แค่กๆ ๆ”
“ฝ่าบาททรงพักผ่อนพระวรกายก่อนเถิด” เมื่อเห็นลี่หยวนตี้ไอออกมาอีกครั้ง เกาอู่เตี๋ยก็รีบยื่นถ้วยน้ำชาให้ “เด็กคนนั้นเป็นผู้ชาย ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันก็เคยบอกพระองค์แล้วมิใช่หรือ”
“เด็กผู้ชายหรือ” แววตาของลี่หยวนตี้ปรากฏความเลื่อนลอย “คล้ายว่า…อู่เตี๋ยเคยบอกข้าไปแล้วรอบหนึ่ง ฮึๆ ไม่ยอมรับคงไม่ได้แล้ว คนแก่ก็คือคนแก่ต่อให้ถอนพิษได้แล้ว ข้าก็ยังเป็นคนแก่” แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็จำไม่ได้
“ฝ่าบาทอย่ารับสั่งเช่นนี้เพคะ” เมื่อเกาอู่เตี๋ยเห็นความอ่อนแอที่ปรากฏออกมาอย่างไม่รู้ตัว ใจของนางก็ห่อเ**่ยว
เพราะในสายตาของเกาอู่เตี๋ย ไม่ว่าลี่หยวนตี้จะเปลี่ยนไปเช่นไร เขาก็ยังคงเป็นผู้ปกครองแผ่นดินนี้อยู่ดี เขายังเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน ดังนั้นท่าทางอ่อนแอเช่นนี้…ไม่ควรที่จะปรากฏอยู่บนใบหน้าของลี่หยวนตี้
“ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ลี่หยวนตี้เหลือบเห็นอารมณ์เศร้าสร้อยของเกาอู่เตี๋ย ตอนนั้นเองเขาแทบจะลืมไปสิ้นว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองเพิ่งจะพูดอะไรออกไป เขาอมยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าแก่แล้วก็ดี เพราะการที่ข้าแก่นั่นหมายความว่าพวกเด็กๆ ก็กำลังจะเติบโตขึ้น”
ช่วงเวลาหนึ่งปีที่เขานอนอยู่บนเตียงทำให้เขาตาสว่างแล้วว่าสิ่งของมีค่าในสายตาของเขา อำนาจที่ล้นฟ้าตอนนั้น เมื่อความตายเข้าใกล้เขาเข้ามา…สิ่งของเหล่านี้เขาล้วนนำมันไปไม่ได้
และในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นจิตใจของคน คนที่ปฏิบัติกับเขาราวกับเขาเป็นเทพเจ้าในตอนแรก ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเขาหมดหวังแล้วก็ค่อยทยอยหายไปจากเขาทีละคน
แม้ว่าในตอนแรกลี่หยวนตี้จะหัวเสีย กลัดกลุ้มถึงขั้นอยากจะยอมแพ้ เนื่องจากในตอนแรกเขาล้วนดูแลคนพวกนั้นเป็นอย่างดีแล้วทำไมเพียงเขาเปลี่ยนไปคนพวกนั้นถึงได้ทยอยทิ้งเขาไปทีละคน
แต่ในภายหลัง ลี่หยวนตี้กลับดีใจ ดีใจที่เขา…ไม่ได้ล้มเหลวถึงขั้นนั้น ดีใจที่สุดท้ายแล้วมีคนเลือกที่จะอยู่ข้างๆ เขา
คนอื่นจะทิ้งเขาไปอย่างไรก็ให้ทิ้งไปเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคนที่ละโมบในอำนาจทั้งนั้น อีกอย่างการมีอยู่ของคนพวกนี้ก็ไม่มีความหายอะไรต่อเขาเลยสักนิด
และการที่จะเอาคืนคนพวกนั้นได้ เขาจำเป็นต้องดีขึ้นโดยเร็วมิใช่หรือ นั่นไม่ใช่เพราะอะไรแต่เป็นเพราะนี่จะได้เป็นการตบหน้าคนพวกนั้น ดังนั้นคนอย่างลี่หยวนตี้จำเป็นต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข
ณ จวนจิ้งอันโหว
“ถวนถวนน่ารักจริงๆ เลย”
เวลาหนึ่งปีผ่านไป ซูเหลียนอวิ้นได้คลอดเด็กออกมาอย่างปลอดภัยและตั้งชื่อให้ว่าต้วนเชิ่งห้าว ความหมายก็คือหวังให้เขารุ่งโรจน์เปล่งประกายนั่นเอง
เด็กที่เพิ่งเกิดออกมานั้นมีรูปร่างราวกับขนมไน่ถวนจึ[1]ตัวน้อย แขนน้อยๆ ของเขาขาวอวบราวกับรากบัว ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นต่างชมกันอย่างไม่ขาดปากว่าเขาน่าตาน่ารัก แม้ว่าอายุจะยังน้อยอยู่ แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจุดเด่นของทั้งต้วนเฉินเซวียนและซูเหลียนอวิ้นได้รวมอยู่ในตัวเขา
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าปล่อยให้ลูกได้นอนหลับบ้างเถิด อย่าเอาแต่อุ้มเขาขึ้นมาเช่นนี้” เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นอุ้มลูกชายไม่วางมือเช่นนี้ ต้วนเฉินเซวียนก็รู้สึกตาร้อนและขุ่นเคืองใจขึ้นมา
เพราะลองคิดดู แต่กลางดึกเขาร้องแหกปากให้ซูเหลียนอวิ้นอุ้มก็ว่าแย่แล้ว ตอนกลางวันเช่นนี้ยังให้ซูเหลียนอวิ้นอุ้มอยู่ไม่ห่างมือเช่นนี้อีก เวลาล่วงเลยผ่านไปจนเขาจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเขาได้กอดซูเหลียนอวิ้นครั้งสุดท้ายคือเมื่อไหร่
ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหว เจ้าเด็กคนนี้จะเป็นคนแรกที่ร้องตะเบ็งเสียงออกมา!
ดังนั้นในสายตาของต้วนเฉินเซวียน ต้วนเชิ่งห้าวคล้ายว่าไม่ใช่ลูกชายของเขาแต่เป็นคนที่สวรรค์ส่งลงมาสร้างความวุ่นวายให้กับเขาเสียมากกว่า
——
[1] 奶团子 ขนมไน่ถวนจึ ขนมดังโงะ