ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 270 ตอนพิเศษ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนึ่งปี
“ท่านจ้องเขาทำไม” ต้วนเฉินเซวียนยังไม่ทันเก็บสายตาทัน ซูเหลียนอวิ้นก็เห็นแววตาของเขาเข้าเสียแล้ว นางจะเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
ใช่แล้ว แม้ว่าทุกคนที่เห็นต้วนเชิ่งห้าวจะเอ็นดูเขา แต่บนโลกนี้ก็ต้องมีคนที่เกลียดเขาอยู่อย่างแน่นอน นั่นก็คือบิดาของเขาต้วนเฉินเซวียน ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากเขา เป็นคนที่เกลียดเขามากที่สุดคนหนึ่ง!
“ข้าจ้องเขาตอนไหน” เขาแค่ใช้สายตาตักเตือน นี่มันกี่โมงแล้ว เจ้าเด็กนี่ยังมีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน
“ให้มันน้อยๆ หน่อย” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นแล้วอุ้มลูกออกห่างจากต้วนเฉินเซวียน “นี่คิดว่าข้าไม่รู้จักท่านเลยหรือ แต่ท่านว่ามันไม่เกินไปหน่อยหรือ เขายังเด็กอยู่ ส่วนท่านโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ท่านจะถือสาอะไรกับลูก!
“หรือว่าเป็นตอนนั้นที่ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา และเขาฉี่รดท่านโดยไม่ตั้งใจ แต่เรื่องนั้นมันผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว ท่านก็ควรมองไปข้างหน้าได้แล้ว อีกอย่างลูกเพิ่งจะตัวแค่นี้ เขาจะไปรู้เรื่องอะไร”
มิผิด ความหมั้นไส้ของต้วนเฉินเซวียนต่อลูกชายตัวเอง แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงเรื่องที่เขาซุกอยู่ในอกของซูเหลียนอวิ้นตั้งแต่เช้าจรดเย็นเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ยังมีอีกมากมาย! และเรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยถึงเมื่อครู่ที่เขาฉี่ราดตอนเปลี่ยนเสื้อผ้านั้น ยังถือเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น!
ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นล้วนเป็นเรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง!
อย่างเช่นเวลาที่ซูเหลียนอวิ้นรีบจะออกไปข้างนอกนั้น นางจำเป็นต้องนำลูกมาฝากไว้ให้ต้วนเฉินเซวียนอุ้ม แต่ก่อนที่ซูเหลียนอวิ้นจะออกไปเขายังหัวเราะคิกคักอยู่ แต่เมื่อซูเหลียนอวิ้นก้าวออกจากประตูไปเท่านั้น เจ้าเด็กคนนี้ก็จะแหกปากร้องออกมาทันที
แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง! อย่าว่าแต่จ้องเลย แค่เหลือบตามองเขายังไม่ทันมองเลยด้วยซ้ำ!
แต่แน่นอนว่า คนอื่นๆ รวมทั้งซูเหลียนอวิ้นต่างไม่ได้คิดเช่นนั้น
เพราะเสียงร้องดังลั่นเช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมทำให้คนไม่รู้เรื่องที่เดินผ่านมาต่างต้องคิดว่าต้วนเฉินเซวียนทารุณลูกอย่างแน่นอน! เพราะคนทั้งจวนแห่งนี้ต่างรู้เรื่องที่ต้วนเฉินเซวียนชังลูกตัวเองทั้งนั้น
ดังนั้นหากบอกว่าต้วนเฉินเซวียนลงมือกับลูกตัวเองตอนที่ซูเหลียนอวิ้นออกไปข้างนอกนั้น เรื่องเรื่องนี้ห่กพูดออกไป…คงไม่มีใครเคลือบแคลงใจอย่างแน่นอน!
“แหะๆๆ” ในตอนนั้นเองเป็นตอนที่ต้วนเชิ่งห้าวหัวเราะขึ้นมาพอดี
เสียงที่ดังออกมานั้นสดใสน่าฟัง เพียงได้ยินก็สามารถจินตนาการได้เลยว่าเด็กคนนี้จะต้องน่ารักมาก
แต่เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยิน เขากลับคิดว่าเจ้าต้วนเชิ่งห้าวจะต้องรู้ว่าแม่ของตัวเองกำลังต่อว่าพ่ออยู่ก็เลยได้ใจและหัวเราะเยาะเขา
“อวิ้นเอ๋อร์ เมื่อไหร่เจ้าจะนอน…” ต้วนเฉินเซวียนมองซูเหลียนอวิ้นเดินนวยนาดอยู่เช่นนั้นจนเกิดความปรารถนาอย่างร้อนแรงขึ้นมา เพราะว่า…การต้องให้นมลูกนั้นทำให้หน้าอกของซูเหลียนอวิ้นดูอวบอิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ต่อให้อวบอิ่มขึ้นเป็นสองเท่า สถานที่ตรงนั้นก็ถูกลูกชายของเขายึดเอาไว้ เขาจึงไม่อาจแตะต้องได้อีกแล้ว
“ท่านพูดเองมิใช่หรือว่าให้ลูกไม่ต้องนอนกลางวัน ตอนกลางคืนจะได้หลับ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเดินจนเหนื่อยแล้วก็หยุดนั่งพัก “เด็กหากไม่นอนกลางวันก็นอนกลางคืน หากตอนกลางคืนเขาไม่นอน ท่านยิ่งรำคาญเขาไปใหญ่กระมัง เช่นนั้นตอนนี้ที่ลูกไม่ยอมนอนคงจะไม่ใช่ความปรารถนาของท่านกระมัง”
ต้วนเฉินเซวียน “…”
เขาเข้าใจเหตุผลดี แต่ว่า แต่ว่า…เหตุใดเจ้าลูกคนนี้ถึงหัวเราะขึ้นมาอีกเล่า
“เอาล่ะๆ แม่จะคุยเป็นเพื่อนถวนถวนนะ ยิ้มหน่อยเร็ว”
“แหะๆๆๆ”
“น่ารักจริงๆ ไม่มีใครน่ารักเท่าถวนถวนของแม่อีกแล้ว”
“แล้วข้าล่ะ” ต้วนเฉินเซวียนไม่ชอบใจที่ตัวเองถูกละเลยเช่นนี้จึงรีบยื่นหน้าเข้าไป “อวิ้นเอ๋อร์ ตอนแรกเจ้าเคยบอกข้าว่าข้าเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุดบนโลกใบนี้ ตอนนี้เจ้าไม่คิดเช่นนั้นแล้วหรือ”
“ข้าเคยพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้วแล้วทำสีหน้าราวกับว่า ‘ท่านหูฝาดไปแล้วกระมัง ข้าจะพูดคำพูดแบบนั้นออกไปได้อย่างไร’
“ตอนนั้นอวิ้นเอ๋อร์เคยพูดจริงๆ” เขากล้าสาบานได้ เขาไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน! อวิ้นเอ๋อร์เคยพูดเช่นนี้จริงๆ แต่พูดเอาไว้เมื่อชาติที่แล้ว…ชาตินี้…นางไม่เคยพูดเลย
“เช่นนั้นตอนนี้ท่านก็ไม่ใช่อันดับหนึ่งอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คนที่น่ารักที่สุด หน้าตาดีที่สุดคือลูกของข้าต่างหาก” ตอนนี้ทั้งหัวใจและสายตาของซูเหลียนอวิ้นมีแต่เด็กน้อยนุ่มนิ่มคนนี้เท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนจะเป็นอย่างไร นางก็ไม่สนใจทั้งนั้น
……
“ศิษย์น้อง เจ้ามาหาข้าที่นี่ได้อย่างไร” เนื่องจากหรงซู่ต้องทำการรักษาและถอนพิษให้ลี่หยวนตี้ เขาจึงต้องเข้าวังบ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงไปก่อน
แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ…? คนที่ไม่ว่าจะมีเรื่องหรือไม่มีเรื่องอะไรก็แวะมาหาศิษย์พี่เสมออย่างต้วนเฉินเซวียน เขามาเพื่อปรับทุกข์โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ซูเหลียนอวิ้นคลอดต้วนเชิ่งห้าวออกมา เขาก็ยิ่งมาที่นี่บ่อยขึ้น
นี่จึงทำให้หรงซู่เคยคิดว่า เขาควรจะย้ายเข้าไปอยู่ในวังหลวงเลยดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้วหากเขาทำเช่นนั้น ต้วนเฉินเซวียนก็จะมาหาเขาได้ตลอดเวลา ดังนั้นอย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย…ให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปเถิด…
“ศิษย์พี่…ท่านว่าพอจะมีวิธีใดที่จะไม่ทำให้อวิ้นเอ๋อร์ตัวติดอยู่กับเจ้าเด็กนั่นทั้งวันได้หรือไม่” คนที่จะตัวติดกับซูเหลียนอวิ้นทั้งวันมีเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วกระมัง เหตุใดต้องมีคนอื่นเพิ่มขึ้นมาด้วย ต่อให้คนผู้นั้นเป็นลูกของเขาก็ไม่ได้เช่นกัน!
“เรื่องนี้ศิษย์พี่คงไร้หนทางช่วยเจ้า” เฮ้อ นั่นเป็นเพราะแม้แต่ตัวเขาเองเวลาเห็นเจ้าเด็กต้วนเชิ่งห้าวนั่น ก็เกิดความรู้สึกอยากจะกอดเช่นกัน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงอวิ้นเอ๋อร์ที่เป็นแม่แท้ๆ ของเขาเลย ดังนั้นหรงซู่เข้าใจพฤติกรรมที่ซูเหลียนอวิ้นชอบกอดต้วนเชิ่งห้าวเอาไว้เสมอเป็นอย่างดี
หากเขาสามารถกอดเด็กน้อยนั่นได้ตลอดเวลา เขาก็คงจะกอดเอาไว้ไม่ยอมวางมืออย่างแน่นอน!
“อ่อใช่สิ ศิษย์พี่”
“ว่า?”
“พิษที่อยู่ในตัวตาแก่นั่น…กำจัดออกหมดแล้วหรือยัง” ต้วนเฉินเซวียนเอามือลูบคางแล้วเอ่ยถามออกมา
“อืม โดยส่วนใหญ่ก็กำจัดออกหมดแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟูขึ้นอีกหน่อย หากฟื้นฟูได้ดีก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรน่ากังวล”
“อ้อ…อย่างนี้เอง”
“ทำไมหรือ เจ้าคิดอะไรขึ้นมาอีก” หรงซู่รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปของน้ำเสียงคลุมเคลือของต้วนเฉินเซวียน จึงเกิดสัญญาณเตือนให้เขาถอยหลังไปเล็กน้อย
“ข้าแค่อยากบอกว่า หากตาแก่นั่นร่างกายดีขึ้นแล้ว…เรื่องการแต่งงานของท่านคงจะผลัดออกไปไม่ได้อีกแล้วกระมัง” นั่นเป็นเพราะในตอนนั้นที่ลี่หยวนตี้อยากให้หรงซู่แต่งงานนั้น เขาได้คิดเหตุผลเอาไว้อย่างดีแล้ว โดยเขาบอกว่าหากตัวเองทนอยู่ไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ขอได้เห็นงานแต่งงานของหรงซู่ก่อนก่อนที่เขาจะจากไป
เนื่องจากเขาได้เห็นงานแต่งงานของต้วนเฉินเซวียนไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้คนที่เหลืออยู่ก็คงมีเพียงหรงซู่เท่านั้น
ทว่าหรงซู่คิดว่าในเมื่อฝ่าบาททรงคิดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งแต่งงานไม่ได้เข้าไปใหญ่ แต่ต้องรักษาเขาให้หายให้ได้!
ดังนั้นจากวันนั้นจนถึงตอนนี้หรงซู่ยังคงอยู่คนเดียวมาตลอด แต่ตอนนี้อาการป่วยของลี่หยวนตี้ใกล้จะหายแล้ว เช่นนั้นหรงซู่…จะยังมีข้ออ้างอะไรในการบอกปัดงานแต่งงานอีก