ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 271 ตอนพิเศษ บทสรุปของหรงซู่และมู่เสวี่ย
หรงซู่วางตำราแพทย์ในมือลงแล้วเงยหน้ามอง “ศิษย์น้อง ศิษย์พี่คิดว่า…นี่มันเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่ เจ้าดูสิ ฝ่าบาทของพวกเรายังไม่ทันจะ…”
“น้อยๆ หน่อย!” ต้วนเฉินเซวียนกรอกตา “ข้าไม่รู้จักท่านหรือไง ข้าไม่ได้ว่าท่านนะ แต่ท่านทำเกินไปหน่อยหรือไม่ ตอนนี้หนานกง…ท่านจะสั่งสอนใครก็ควรมีขีดจำกัดบ้างกระมัง ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ไหนท่านว่ามาซิว่าพวกท่านทั้งสองกำลังเล่นอะไรกันอยู่”
ในฐานะที่ต้วนเฉินเซวียนเป็นคนนอก เขารู้สึกร้อนใจแทนหรงซู่ด้วยใจจริง เพราะไม่ว่าอย่างไร หรงซู่กับหนานกงมู่เสวี่ยล้วนเป็นลูกศิษย์สำนักเดียวกันและเป็นคนที่มีความผูกพันที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก
อีกอย่างอายุของหรงซู่ตอนนี้…นับได้ว่าไม่น้อยแล้ว แต่กลับยังไม่ได้แต่งงาน นี่มันเรื่องอะไรกัน
อีกอย่างหากบอกว่าหรงซู่กับหนานกงมู่เสวี่ยไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันนั่นก็คงไม่มีประเด็นอะไร แต่นี่ก็เห็นชัดๆ แล้วว่าไม่ใช่ พวกเขาทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างยังไม่ได้แต่งงาน
หรือว่าจะรอจนฟ้าดินสลายไปเลยหรือ
“ความสัมพันธ์ของข้ากับหนานกงไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด” หรงซู่ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังโต๊ะน้ำชาเพื่อที่จะรินช้าให้ต้วนเฉินเซวียนเพื่อดับร้อน เพราะดูจากท่าทางของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้แล้ว…คล้ายว่าบนหัวของเขามีเปลวไฟลุกโชนอยู่
“พวกเราสองคน…” หรงซู่เตรียมจอธิบายต่อ แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกทีกลับคิดว่าช่างมันเถิด เพราะเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ความทรงจำในตอนนั้น…ราวกับว่าค่อยๆ เลือนรางลงไปเรื่อยๆ แต่มีสิ่งเดียวที่ยิ่งลึกซึ้งและยากต่อการลืมเลือน
นั่นก็คือความบาดหมางระหว่างพวกเขาทั้งสองที่สะสมมาเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่แปรเปลี่ยน ที่นับวันก็มีแต่จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ หนานกงมู่เสวี่ยมักจะมาเดินเล่นที่นี่โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ แถมยังนำของแทนความทรงจำหลายๆ อย่างมาด้วย…
ของเล่นที่พวกเขาทั้งสองเล่นด้วยกันตอนอยู่บนเขา ของกินที่พวกเขาเคยกินด้วยกัน ของทุกอย่างล้วนเรียกความทรงจำในตอนนั้นของเขากลับมา
“เรื่องในตอนนั้นเป็นความผิดของนางหรือ” เมื่อดื่มชาลงท้องไปหนึ่งถ้วย ต้วนเฉินเซวียนก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย “เรื่องราวเฮงซวยในตอนนั้น เป็นเรื่องราวพ่อของมู่เสวี่ย เหิงชินอ๋องกระมัง เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้และต้องหาตัวการให้ถูกคน
ต้วนเฉินเซวียนแอบคิดในใจว่า อย่างมากที่สุดมู่เสวี่ยก็เป็นเพียงคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้เรื่องแต่ไม่อาจบอกความจริงก็เท่านั้น
“ช่างเถิดๆ ข้าไม่คุยเรื่องนี้กับท่านแล้ว” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นสีหน้าเรียบเฉย ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆดังเดิมของหรงซู่ เขาก็เอ่ยออกมาว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ อันที่จริงยังมีอีกเรื่องที่อยากจะบอกท่าน”
“เรื่องอะไร”
ต้วนเฉินเซวียนกระแอม “คือว่า…ในตอนเด็ก ท่านยังจำลู่หยวนเชิ่งคนที่เล่นอยู่กับพวกเราได้หรือไม่”
“ลู่หยวนเชิ่ง?” หรงซู่ขมวดคิ้วพลางรำลึกอยู่ว่าคนผู้นี้คือใคร “คล้ายว่าพอจำได้อยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้อยู่กับพวกเรานานนักกระมัง ครอบครัวของเขาอยู่ที่เมืองหลวงไม่นานก็ย้ายไปทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ตอนนี้…ก็คงอยู่ที่นั่นกระมัง เหตุใดศิษย์น้องถึงถามถึงคนผู้นี้ขึ้นมา”
“ข้าแค่อยากจะบอกท่านว่าเขากำลังจะเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว” แววตาของต้วนเฉินเซวียนเต็มไปด้วยความสะใจที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ “ส่วนจุดมุ่งหมายที่เขาเข้ามานั้น…เฮ้อ ว่ากันว่ามาเพื่อสู่ขอเจ้าสาว ท่านว่าเขามาขอผู้ใด…”
กล่าวได้ว่าน้ำเสียงของต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ร้ายกาจยิ่ง โชคดีที่หรงซู่อารมณ์ดี เพราะหากเขากำลังอารมณ์ไม่ดีและได้ยินน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างลอยหน้าลอยตาเช่นนี้คงจะต่อยปากต้วนเฉินเซวียนไปนานแล้ว
“ไม่รู้” น้ำเสียงของหรงซู่เริ่มแข็งกระด้างขึ้นมาเล็กน้อย “ในปีนั้นครอบครัวของเขาถูกมอบหมายไปดูแลทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้มิใช่หรือ แล้วเขาจะทิ้งด่านมาทั้งๆ ที่ไม่มีธุระอะไรโดยพลการได้อย่างไร”
“ใครว่าไม่มีธุระเล่า” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พิธีแต่งตั้งเจ้าเด็กหนานหงเช่อเป็นองค์รัชทายาทใกล้เข้ามาเต็มที่แล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ใครบ้างจะกล้าไม่มา” 。ใครให้เจ้าตีหน้าซื่อ! ตอนนี้ในใจของต้วนเฉินเซวียนลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเมื่อครู่นี้เขายังบอกอยู่เลยว่าระหว่างเขากับหนานกงมู่เสวี่ยนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ตอนนี้พอได้ยินเรื่องนี้เข้า สีหน้ากลับหมองหม่นถึงเพียงนี้!
“หนานกงก็เป็นจวิ้นจู่…” หรงซู่รู้สึกว่าตัวเองจะต้องทำอะไรขั้นไปก่อน เมื่อครู่นี้เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงหันหลังให้ต้วนเฉินเซวียนแล้วหยิบตำราแพทย์เล่มนั้นขึ้นมาอีก “อันที่จริงแล้ว สิ่งที่สำคัญของเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับหนานกงกระมัง”
“ศิษย์พี่มู่เสวี่ยตอบตกลงแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนลากเก้าอี้มาจากอีกด้านจากนั้นนั่งไขว่ห้าง “ศิษย์พี่ก็รู้นี้ว่าศิษย์พี่มู่เสวี่ยตอนนี้อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว นางอายุสิบเก้าปีแล้ว! ผู้หญิงที่อายุสิบเก้าในเมืองนี้มีผู้ใดบ้างยังไม่แต่งงาน”
“อีกอย่างลู่หยวนเชิ่งก็เติบโตมาพร้อมๆ กับพวกเราตั้งแต่เด็ก ความผูกพันจึงพอมีต่อกันบ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากได้แต่งงานกับเขา วันหน้านางก็จะได้ออกไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ ออกจากกฏระเบียบทุกอย่างที่พันธนาการนางไว้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่งนัก เพราะท่านเองก็คงรู้นิสัยของศิษย์พี่มู่เสวี่ยดี นางไม่ชอบกฎระเบียบพวกนี้เป็นที่สุด นางอาจจะปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม แต่ความจริงเป็นอย่างไรพวกเราก็รู้ดี”
ดูมือของเขาสิ ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นมอง ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วยังมัวแต่อ่านหนังสืออยู่อีก ท่านไม่ได้พลิกเปลี่ยนหน้าเลยสักหน้า ยังทำเป็นไม่ใส่ใจอยู่อีก
ดูท่าแล้วยังคงโจมตีไม่รุนแรงพอ! ต้วนเฉินเซวียนมองสีหน้าของหรงซู่ที่ยังคงไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเช่นนี้ก็กัดฟันกรอดแล้วงัดไม้ตายสุดท้ายออกมา “หากดูเวลาแล้วตอนนี้เขาคงมาถึงแล้ว เพียงแค่ไม่รู้ว่าที่แรกที่เขาจะไปใช่จวนของเหิงชินอ๋องหรือไม่”
ณ จวนเหิงชินอ๋อง
หนานกงมู่เสวี่ยกำลังฝึกเขียนตัวอักษรอยู่ในห้องของตัวเอง แต่เมื่อได้ยินว่ามีแขกมาที่จวนจึงจำต้องหยุดเขียนตัวอักษรที่เขียนไปได้เพียงครึ่งตัวและวางพู่กันลง จากนั้นจึงเปลี่ยนชุดอย่างลำบากใจแล้วเดินไปยังเรือนหน้า
“เสี่ยวมู่เสวี่ย?”
หนานกงมู่เสวี่ยเงยหน้าแล้วมองไปยังคนที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ด้วยความสงสัย
บุรุษผู้นั้นดูเป็นคนที่มีความกระตือรือร้น เพียงดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่น่าเบื่อแล้วว่าง่ายเช่นนั้น และยิ่งเห็นป้ายหยกที่แขวนอยู่บนตัวเขาก็ยิ่งทำให้มองออกขึ้น และทั้งๆ ที่เขาใส่ชุดสีฟ้าทั้งตัวแต่บริเวณของเขากลับมีเครื่องประดับที่ทำจากหินโมราสีแดงสด
แม้ว่าดูแล้วจะเป็นการจับคู่ที่ไม่เลว แต่จะอย่างไรก็…ไม่ใช่พิมพ์นิยมเหมือนอย่างทั่วๆ ไปนัก
“ข้าเอง เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ” ลู่หยวนเชิ่งยืนขึ้แล้วชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเอง “ข้าเอง ลู่หยวนเชิ่ง เสี่ยวมู่เสวี่ยลืมข้าเสียแล้ว น่าน้อยใจนัก!”
“อ้อ..ท่านนี่เอง” หนานกงมู่เสวี่ยจ้องผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอยู่เป็นเวลานาน ถึงจะพอนึกออกขึ้นมาบางส่วน “ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ทำไม…จู่ๆ ท่านถึงมาที่เมืองหลวงได้”