ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 272 ตอนพิเศษ บทสรุปของหรงซู่และมู่เสวี่ย (2)
“แน่นอนว่าข้าต้องคิดถึงเสี่ยวมู่เสวี่ยอยู่แล้ว” ลู่หยวนเจ๋อยกนิ้วของตัวเองชูขึ้น “รู้สึกอย่างไรบ้าง ดีใจหรือไม่”
“ฮ่าๆๆๆ…” แม้ว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะเป็นคนที่มีความคิดรอบคอบคนหนึ่ง แต่เวลานี้ท่าทางสนิทสนมของลู่หยวนเชิ่งทำเอานางตกใจจนพูดไม่ออก ในตอนนั้นนางจึงทำได้เพียงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ไกลๆ เขาเช่นนั่น
“เสี่ยวมู่เสวี่ยยังเป็นคนมีอารมณ์ขันอย่างเช่นเมื่อก่อน” เมื่อลู่หยวนเชิ่งเห็นท่าทางลำบากใจเช่นนั้นของหนานกงมู่เสวี่ยก็ตัดสินใจว่าจะไม่อำนางอีก เขายื่นนิ้วมือออกมาแล้วเคาะเบาๆ ไปที่หน้าผากของหนานกงมู่เสวี่ย “ตอนนี้ใกล้จะถึงพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว ข้าจะไม่มาได้อย่างไร”
“แค่เรื่องนี้หรือ” หนานกงมู่เสวี่ยสงสัยจึงเอ่ยถามออกมา เพราะนางคงไม่ได้คิดมากไปเองกระมัง เพราะหากมาที่เมืองหลวงเพื่อมาร่วมพิธีแต่งตั้งหนานกงเช่อเป็นองค์รัชทายาทเพียงอย่างเดียวล่ะก็…เหตุใดเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้วสิ่งที่แรกที่ลงมือทำคือมาเยี่ยมพวกนาง
เรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไร…ก็ต้องทำให้คนอื่นเข้าใจเจตนาผิดได้อย่างแน่นอน
“เอ่อ…” เมื่อลู่หยวนเชิ่งโดนสายตาสอดส่องของหนานกงมู่เสวี่ยเช่นนี้ก็เริ่มตื่นตระหนกจึงเบือนหน้าหนีไปไม่ให้สบตากับหนานกงมู่เสวี่ย จากนั้นจึงเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “แน่นอน แน่นอนว่ามีเรื่องอื่นด้วย…”
แต่เรื่องอื่นที่ว่านั้น…เขาต้องขอโทษด้วย เพราะเขาไม่รู้จะเอ่ยออกไปอย่างไรและไม่กล้าพูดด้วย!
มิผิด ครั้งนี้ที่เขามาที่เมืองหลวงอย่างกะทันหันนั้น แน่นอนว่าไม่ได้มาด้วยเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทแต่เพียงอย่างเดียว เพราะกว่าจะถึงวันแต่งตั้งองค์รัชทายาทนั้นยังต้องรออีกสามเดือน
ต่อให้ต้องมาถึงล่วงหน้า แต่การมาถึงของเขาในครั้งนี้ถือว่าล่วงหน้าเกินไปหน่อยหรือไม่
“เรื่องอื่น…?” หนานกงมู่เสวี่ยหรี่ตาอย่างเคลือบแคลงและกดดัน “เกี่ยวกับข้าด้วยหรือไม่ ว่ามาเถิดว่าท่านมาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร” แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามาด้วยเรื่องอะไร แต่เมื่อเห็นท่าทางของลู่หยวนเชิ่งก็สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าจะต้องไม่ใช่มาเพราะถูกใจนางและอยากสู่ขอนางอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าจะอย่างไร หนานกงมู่เสวี่ยก็เคยเห็นผู้ชายที่แสดงออกว่าชอบตนมาไม่น้อยแล้ว สายตาที่คนพวกนั้นมองนางกับสายตาของลู่หยวนเชิ่งในตอนนี้นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น…วัตถุประสงค์ใดที่ทำให้ลู่หยวนเชิ่งมาหานางที่นี่นั้นถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
“ไม่ใช่หรอก” เมื่อลู่หยวนเชิ่งได้ยินดังนั้นเขาก็ทำท่าราวกับโดนเหยียบหางอย่างไรอย่างนั้น “ไม่มีๆ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเสี่ยวมู่เสวี่ยเลย อ้อไม่ใช่สิ เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วย” เขาได้เปิดเผยอะไรออกไปหรือไม่ แต่ว่า…ก็ไม่น่าจะใช่? เพราะตามที่ต้วนเฉินเซวียนเตรียมการไว้ให้เขา เขาไม่น่าจะท่องอะไรผิดอย่างแน่นอน
วิธีในการจีบผู้หญิง…ไม่ใช่อย่างนี้หรอกหรือ
“ข้า ข้า ข้าอยากจะขอเจ้าแต่งงานน่ะเสี่ยวมู่เสวี่ย!” เมื่อลู่หยวนเชิ่งเอ่ยจบก็หยุดยืนแข็งทื่อราวกับทหารยืนทำความเคารพ ทว่าสายตาของเขา…คล้ายว่าไม่ได้อยู่บนร่างกายของเขา เพราะมองไปทั่วอย่างควบคุมไม่ได้ราวกับว่าไม่กล้าสบตากับใคร
“เรื่องนี้เอง” หนานกงมู่เสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากของนางปรากฏรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็น “ได้ ข้าตกลง”
“อะไรนะ?” คราวนี้ลู่หยวนเชิ่งกล้าก้มหน้าลงแล้ว แต่กลับก้มมองหนานกงมู่เสวี่ยอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “มู่ มู่เสวี่ย เมื่อกี้เจ้าว่าอย่างไรนะ”
ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่ๆ เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง ทำไมถึงตอบตกลงเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้
“ท่านได้ยินไม่ชัดหรือ” หนานกงมู่เสวี่ยเอียงคอแล้วยิ้มตาหยี “ข้าบอกท่านว่า ข้าตกลง พวกเราจะแต่งงานกันเมื่อไหร่ดี” แม้ว่าจะไม่รู้ว่าคนเป็นหรือตายส่งเขามา แต่ท่าทางเงอะงะของเขาก็มีข้อดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆ…ก็น่าจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างกระมัง
“งานแต่งงาน?” แย่แน่ แย่แน่ ขาของลู่หยวนเชิ่งถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว ควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
“ทำไมรึ อย่าบอกนะว่าท่านไม่เอาด้วยแล้ว”
“เปล่า” ลู่หยวนเชิ่งไม่อยากจะเชื่อ “คือว่า…เสี่ยวมู่เสวี่ยไม่รู้สึกหรือว่าพวกเรารีบร้อนกันเกินไป เพราะพวกเราเพิ่งจะได้พบหน้ากันเองมิใช่หรือ…”
“แต่แม้ว่าจะเพิ่งเจอหน้ากัน ท่านก็ขอข้าแต่งงานแล้วมิใช่หรือ” หนานกงมู่เสวี่ยหันกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วหยิบถ้วยน้ำชาที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องเลยขึ้นมา “ท่านกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ทำไมรึ ไม่ได้เตรียมตัวไว้หรือหากข้าตอบตกลง”
“ข้า…”
“หากยังไม่ได้พิจารณาดีๆ ล่ะก็ ท่านกลับไปคิดดูให้ดีก่อนเถิด” เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นว่าตัวเองทดสอบอะไรไปได้มากสมควรแล้วก็คิดว่าควรหยุดแต่เพียงเท่านี้ก่อน “แน่นอนว่า คำตอบของข้าคือตกลง ข้าจะรอท่าน”
ลู่หยวนเชิ่งไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาจากจวนเหิงชินอ๋องได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าตอนที่เขามาถึงจวนจิ้งอันโหวนั้น ฝีเท้าของเขายังคงล่องลอยคล้ายคนที่กำลังมึนงง
……
“เฉินเซวียน ท่านว่าแผนของท่านจะได้ผลจริงหรือ” นานๆ ทีที่ต้วนเชิ่งห้าวจะหลับไปได้โดยที่ไม่พัวพันอยู่กับซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นแน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้ผ่านไปเพราะไม่ค่อยได้อยู่กับซูเหลียนอวิ้นลำพังสองต่อสองเช่นนี้
“น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” ต้วนเฉินเซวียนนั่งอยู่บนโต๊ะเพื่อมองดูซูเหลียนอวิ้นประดับเครื่องประดับที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งของตัวเองอยู่ เพราะหลังจากที่คลอดลูก ซูเหลียนอวิ้นก็แทบจะไม่มีโอกาสได้ใส่เครื่องประดับพวกนี้เลย
การได้มองสาวงามแต่งตัวนั้น ช่างเป็นโอกาสที่หายากอย่างยิ่ง
“เจ้าลู่หยวนเชิ่งเคยรับประกันกับข้าเอาไว้ว่าตอนที่เขาอยู่ที่แดนตะวันตกเฉียงใต้นั้น เขา…” เขาบอกว่าอย่างไรนะ… ตอนนั้นต้วนเฉินเซวียนเกิดนึกไม่ออกขึ้นมาว่าเนื้อหาที่เขาเขียนมาในจดหมายนั้นเขียนว่าอย่างไร จึงเอ่ยไปมั่วๆ ว่า “เขาเป็นคนที่จีบผู้หญิงเก่งอย่างมาก!”
“เอ๊ะ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินต้วนเฉินเซวียนเอ่ยเช่นนั้น นางก็ประหลาดใจจนแทบทำดินสอเขียนคิ้วในมือของตัวเองหัก เพราะว่า…จากคำพูดที่ต้วนเฉินเซวียนเคยพูด เขาน่าจะเป็นผู้ชายเจ้าสำอางที่อยู่ในตระกูลร่ำรวยและมีชีวิตอย่างไม่ทุกข์ร้อนไปวันๆ
คนเช่นนี้ตีสนิทกับหนานกงมู่เสวี่ย คุณพระ! เช่นนั้นตอนนี้มู่เสวี่ยคงไม่เป็นไรกระมัง
“นายท่าน มีแขกรอท่านอยู่ที่เรือนหน้าขอรับ” ซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันจะได้เดาเหตุการณ์ต่อ เสียงที่แฝงความเสียดายระคนระมัดระวังของหลิวจือก็ดังเข้ามาจากด้านนอก “นายท่าน…คนผู้นี้ดูท่าทางมีเรื่องด่วน เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนท่าน”
ต้วนเฉินเซวียนนั่งเหม่ออย่างไร้อารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ดูแล้วคล้ายว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ แน่นอนว่าเพียงร่างกายครึ่งท่อนบนเท่านั้น! เพราะเท้าของเขาเมื่อได้ยินว่ามีคนมาหาเขาตอนนี้ก็เตะโต๊ะตัวนั้นจนหักโดยไม่รู้ตัว
“อย่าใช้อารมณ์” เมื่อซูเหลียนอวิ้นวาดคิ้วเสร็จก็ส่องกระจกดูความเรียบร้อยก่อนที่จะเอียงตัวหันไปพูดว่า “มีคนรอท่านอยู่ ท่านก็รีบไปเข้า รีบไปรีบกลับก็ได้” เพราะจะช้าจะเร็วท่านก็ต้องไปอยู่ดี
“ได้…” เขาต้องไปดูสักหน่อยว่าใครกันที่เป็น ‘คนรู้กาละเทศะ’คนนั้น ถึงขั้นกล้ามาหาเขาที่นี่ในเวลานี้
“พี่ต้วน!” ต้วนเฉินเซวียนเพิ่งจะเลิกม่านขึ้น เขายังไม่ทันจะออกไปยืนตั้งหลักดีๆ เลยก็มีคนผู้หนึ่งเสนอหน้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “พี่ต้วน เรื่องนี้ไม่เหมือนอย่างที่ท่านบอกข้าเอาไว้ในจดหมาย”
“ลู่หยวนเชิ่ง?” ต้วนเฉินเซวียนใช้นิ้วผลักผู้ที่มีท่าทางร้อนรนตรงหน้าให้ออกห่าง “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เวลานี้ลู่หยวนเชิ่งควรจะอยู่ที่จวนเหิงชินอ่องไม่ใช่หรือ
“ข้า…คล้ายว่าข้าทำความแตกเสียแล้ว…” ลู่หยวนเชิ่งพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงก่อนที่จะเอ่ยขึ้น
“ว่าอย่างไรนะ” ต้วนเฉินเซวียนไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเขานัก “ทำความแตก…ทำอะไรแตก ท่าน ท่านบอกว่าท่านเป็น…ไม่ใช่รึ!” คำคำนั้นเรียกว่าอะไรนะ จู่ๆ เขาพลันนึกไม่ออกขึ้นมา
“ข้าพูดไม่ผิดนะ ข้ามีเสน่ห์เวลาอยู่ต่อหน้าสตรีจริงๆ!” แต่คำพูดพวกนี้ล้วนมาจากสาวใช้ของเขาทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ไม่ได้โกหก
“แล้วอย่างไร ท่านไปทำอะไรมา” ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนรู้สึกว่าฟันกรามของตัวเองเริ่มปวดขึ้นมา
เนื่องจากคนในเมืองหลวงแห่งนี้ล้วนคุ้นเคยกับหรงซู่และหนานกงมู่เสวี่ยดี ดังนั้นเขาจึงพยายามหากคนที่ไม่ได้อยู่ในวังหลวงแต่มีความข้องเกี่ยวกับหรงซู่และหนานกงมู่เสวี่ย
คนอย่างนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ
เฮ้อ เป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ เขาไม่ควรเชื่อคนที่เขียนบรรยายตัวเองอย่างมั่นใจในตัวเองเสียเต็มประดาที่เอาแต่พูดแต่ข้อดีของตัวเองแบบนั้น แต่เขาควรเชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ลู่หยวนเชิ่งกลืนน้ำลายแล้วค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนเหิงชินอ๋องให้ต้วนเฉินเซวียนฟัง เมื่อเล่าจบแล้วก็เอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “พี่ต้วน เสี่ยวมู่เสวี่ยคงไม่ได้พูดเรื่องจริงกระมัง นาง นางตัดสินใจจะแต่งงานกับข้าจริงหรือ”
แม้ว่าเสี่ยวมู่เสวี่ยจะเป็นคนที่สวยงาม สวยมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตขึ้นแล้วก็ยิ่งสวย แต่หัวใจของเขามีคนจับจองอยู่ที่แดนตะวันตกเฉียงใต้เสียแล้ว เพียงแต่มีเรื่องอื่นๆ ต้องจัดการ…เขาเลยยังไม่ได้ไปสู่ขอ
ดังนั้นแล้วการจะให้เขาแต่งงานกับหนานกงมู่เสวี่ยนั้น เขาไม่ยอม…อย่างแน่นอน!
“ปัญญาอ่อน…” ต้วนเฉินเซวียนถลึงตาจ้องลู่หยวนเชิ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “มิผิด นางคงเห็นว่าเจ้าหล่อเหลาเลยอยากแต่งงานกับเจ้า เจ้าไปแอบหัวเราะอยู่ใต้ผ้าห่มคนเดียวก็แล้วกัน!”
ความแตกแล้วจริงๆ! เขาน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว…หนานกงมู่เสวี่ยจะติดกับลูกไม้ตื้นๆ นี้ได้อย่างไร เฮ้อแต่บางทีอาจจะเกี่ยวกับลู่หยวนเชิ่งเองด้วยที่ไม่มีความสามารถทางการแสดง!
“หัวเราะอะไรกัน” ลู่หยวนเชิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังโงนเงน “ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ท่านเป็นคนให้ข้าทำ ข้าไม่ได้อยากจะแต่งงานกับเสี่ยวมู่เสวี่ย หากท่านคิดจะทิ้งข้าไว้เช่นนี้ล่ะก็…ข้าจะไปหาเสี่ยวมู่เสวี่ยแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง” สรุปแล้วอย่าคิดจะใช้เขาเด็ดขาด
ณ จวนเหิงชินอ๋อง
“จวิ้นจู่”
“กลับมาแล้วหรือ” หนานกงมู่เสวี่ยวางพู่กันในมือลงแล้วเป่าตัวอักษรที่ตนเพิ่งจะเขียนเสร็จ “อืม คราวนี้เขียนคล่องขึ้นมากแล้ว” เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคงจะได้ข่าวดีจากการแข่งขันบ้าง
“บ่าวตามคุณชายลู่ไปจึงพบว่าสถานที่ที่คุณชายลู่ไปก็คือจวนจิ้งอันโหว แต่องครักษ์ของจวนจิ้งอันโหวนั้นขึ้นชื่อว่าแน่นหนา…ดังนั้นบ่าวจึง…ตามไปได้ถึงหน้าประตูจวนเท่านั้น…”
“เข้าใจแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยพยักหน้า “เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้ามาเอง”
“ขอรับ จวิ้นจู่”
สุดท้ายแล้วก็เป็นไปตามที่นางคิดเอาไว้ หนานกงมู่เสวี่ยจึงหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะในเมืองหลวงแห่งนี้คนที่จะใช้ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้…ก็คงจะมีแต่ต้วนเฉินเซวียนและอีกคนก็คือ…
ช่างเถิด หนานกงมู่เสวี่ยส่ายหน้าแล้วพยายามสลัดความคิดที่ไม่มีทางเป็นจริงนั้นออกไป ด้วยเหตุการณ์ในตอนนี้…อย่างไรก็คงต้องให้เป็นเช่นนี้ไปก่อน
“ศิษย์พี่…”
“โธ่เอ๊ย เฉินเซวียนมาหานี่เอง” เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นสีหน้ากังวลของต้วนเฉินเซวียนก็ยิ้มออกมา “เป็นอะไรหรือ ทำไมสีหน้า…จึงเป็นเช่นนี้ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนหรือ อ้อ ข้ารู้แล้ว จะต้องโดนเชิ่งห้าวกวนมาแน่ๆ”
“แต่อย่าหาว่าข้าว่าเจ้าเลย เจ้าโตขนาดนี้แล้ว ทำไมยังทะเลาะกับเด็กอยู่อีก ให้อวิ้นเอ๋อร์อยู่กับเขาเยอะๆ หน่อยก็ดีแล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทุกวันเช่นนี้และจะได้มีเวลาพักผ่อนด้วย อย่างน้อยๆ ตอนกลางคืนจะได้หลับสนิท อีกอย่างยังเป็นวิธีที่ดีต่อพวกเจ้าทั้งสามคนอีกด้วย หากเทียบระหว่างเชิ่งห้าวกับเจ้าแล้ว อวิ้นเอ๋อร์คงอยากอยู่กับเชิ่งห้าวมากกว่า”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนได้ยินหนานกงมู่เสวี่ยตั้งใจเอ่ยคำพูดทุกคำออกมาเพื่อแทงใจเขาเช่นนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจขึ้นว่าหนานกงมู่เสวี่ยจะต้องเดาแผนการของเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
“ศิษย์พี่…เรื่องนี้ข้าผิดเอง…”ต้วนเฉินเซวียนกำหมัดแน่นและตัดสินใจจะสารภาพความจริงออกมา เพราะเขาไม่อยากได้ยินคำพูดเสียดสีจากหนานกงมู่เสวี่ยอีกแล้ว
เพราะหากพิจารณาระดับการทำลายล้างผู้อื่นของหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว อันที่จริงนางก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากต้วนเฉินเซวียนเลย
“อืม แต่เจ้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด”
“เอ๊ะ?”
“ให้ข้ายืมตัวคนผู้นั้นสักหน่อยเถิด” หนานกงมู่เสวี่ยวางมือข้างหนึ่งลงบนโต๊ะเพื่อเท้าคาง “ผ่านมาก็หลายปีแล้วควรจะทำให้เรื่องมันจบเสียที” หากมัวแต่ปล่อยไปเรื่อยๆ เช่นนี้ก็คงจะไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา
หากข่าวการแต่งงานของนางยังไม่สามารถทำให้หรงซู่เกิดความรู้สึกใดๆ ได้ เช่นนั้นนางก็…หัวใจของคนนั้นก็คือเนื้อก้อนหนึ่ง นางควรยอมแพ้ได้แล้ว
หนานกงจวิ้นจู่จะแต่งงานแล้ว
ข่าวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะเกิดข่าวนี้ขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพราะหนานกงจวิ้นจู่…อยู่เช่นนี้มาหลายปี เหตุใดถึงเตรียมจะแต่งงานขึ้นมาอย่างกะทันหันได้
“ศิษย์พี่ ท่านไม่ไปดูหน่อยหรือ” ช่วงเที่ยง ต้วนเฉินเซวียนเดินทางไปที่พักของหรงซู่อย่างคุ้นเคย และก็จริงตามคาด เขากำลังยุ่งอยู่กับการทำงานในมือ ‘อย่างสงบ’
“ดูอะไร” หรงซู่แสร้งโง่
“โธ่เอ๊ย ท่านไม่รู้หรือ” ต้วนเฉินเซวียนเอามือปิดปากด้วยท่าทางที่เยอะเกินจริง “วันนี้ด้านนอกวุ่นวายเสียขนาดนี้ เสียงประทัดดังขนาดนี้ ท่านไม่ได้ยินเลยหรือ”
“ไม่ได้ยิน”
“ไม่เป็นไร ท่านไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เรื่องนี่ยังมีข้าอยู่” ต้วนเฉินเซวียนเข้าไปประชิดข้างๆ หรงซู่ แล้วดึงสมุนไพรที่อยู่ในมือของเขาออกอย่างรังเกียจ
“วันนี้เป็นวันแต่งงานของศิษย์พี่มู่เสวี่ยแล้ว ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกท่านไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน ทำไมศิษย์พี่ถึงลืมได้ นี่ไม่ถูกต้องนะ ที่ผ่านมาศิษย์พี่เป็นผู้ที่มีความจำดีที่สุด”
หรงซู่เม้มปากแล้วกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว “เรื่องไร้สาระ ทำไมข้าต้องจำด้วย”
“เรื่องไรสาระ…?” ต้วนเฉินเซวียนหัวเราะเยาะ “ได้ ปากของท่านแข็งนัก หากผ่านคืนนี้ ท่านพูดอะไรก็คงไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว”