ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 273 ตอนพิเศษ ตอนจบของหรงซู่และมู่เสวี่ย
ณ จวนเหิงชินอ๋อง
หนานกงมู่เสวี่ยนั่งอยู่บนเตียงสมรสเพียงลำพังมานานไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว เรื่องราวในวันนี้ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่
หากชนะ…ทุกอย่างล้วนราบรื่น แต่หากแพ้…ก็คงทำได้เพียงยอมรับความจริงเท่านั้น
เทียนเล่มแดงค่อยๆ มอดลงเรื่อยๆ ค่อยๆ มอดไหม้ไปทีละนิด เทียนที่เดิมมีขนาดใหญ่เท่าแขนเด็ก ก็ลดเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น…เนื่องมาจากเวลาล่วงเลยไปนาน เห็นได้ชัดเจนว่าตอนนี้เป็นเวลายามใดแล้ว ……
“พี่ต้วน พวกเราทำเช่นนี้จะดีหรือ”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” เนื่องจากตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังแบกคนผู้หนึ่งอยู่แถมยังต้องหลบองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้เขาจึงเหนื่อยล้าทั้งกายทั้งใจ ดังนั้นแน่นอนว่าตอนนี้เขาต้องรีบร้อนมาก ซึ่งทำให้น้ำเสียงของเขาร้อนรนตามไปด้วยเช่นนั้น “หากเจ้าคิดว่าไม่ดี เจ้าก็รีบกลับไปซะ คืนเข้าห้องหอของบ่าวสาวเช่นนี้ ท่านจะอยู่กับข้าที่นี่ไปเพื่ออะไร”
“จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าท่านกำลังทำเรื่องที่ถูกต้องที่สุด” ลู่หยวนเชิ่งพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีหนักแน่น “พวกเรากำลัง…พรากคู่รัก?”
“เจ้าพูดไม่เป็นเอาเสียเลย!” ต้วนเฉินเซวียนหันไปค้อน “นี่เรียกว่าอวยพรให้คนรักได้สมความปรารถนาต่างหาก”
มิผิด คนที่อยู่บนหลังของต้วนเฉินเซวียนตอนนี้ก็คือหรงซู่ไม่ผิดแน่ เพราะใช้ไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้แข็ง!
ถึงอย่างไรข้าวสารก็ต้องกลายเป็นข้าวสวยอยู่แล้ว เมื่อถึงตอนสุดท้ายแล้ว เขาไม่เชื่อว่าคนทั้งสองคนนี้จะเป็นอย่างอื่นกันไปได้
“ทางด้านเสี่ยวมู่เสวี่ยไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” เมื่อลู่หยวนเชิ่งเงยหน้าขึ้นก็เห็นสัญลักษณ์ที่คุ้นเคยถูกยิงขึ้น
“ได้ เช่นนั้นก็ขาดแต่เพียงพวกเราแล้ว ไปกันเถิด”
วันรุ่งขึ้น
“จวิ้นจู่ นายท่าน ตื่นได้แล้วเพคะ”
หนานกงมู่เสวี่ยเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังเข้ามาจากด้านนอก นางก็ตื่นขึ้นทันที
“โอ๊ย…” หนานกงมู่เสวี่ยเตรียมจะลุกขึ้น แต่นางกลับพบว่านางรู้สึกเจ็บร่างกายของนาง…โดยเฉพาะท่อนล่างที่แม้นางจะขยับเพียงเล็กน้อย ไหนจะบริเวณแขนของนางที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้นางยกขึ้น แถมนางยังรู้สึกมึนหัวอีกต่างหาก เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นางเพียงรู้สึกว่าตัวเองง่วงนอน…จากนั้น…จากนั้นล่ะ
คงไม่ได้มีใคร…หนานกงมู่เสวี่ยหายใจเข้าลึกพยายามให้ตัวเองใจเย็นลง เพราะบางทีก็อาจจะเป็นไปได้ที่นางจะคิดไปเอง
“อือ…” เสียงขมุกขมัวดังขึ้นจากข้างกายนาง ตอนนั้นเองที่หนานกงมู่เสวี่ยเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนเตียงของนาง…มีคนอื่นอยู่อีกคน!
“อาอาอาอา อาซู่?!” ความตื่นตะหนกทำให้หนานกงมู่เสวี่ยพูดติดอ่าง “ท่าน…ท่าน ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” พระเจ้าช่วย! หรือว่า…คนเมื่อคืนนี้จะเป็นหรงซู่··?
แต่ ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง นางจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด นี่มัน…
“หนานกง?” หรงซู่ยกมือขึ้นบังแสง เมื่อเริ่มปรับสายตาได้จึงจะวางมือลงแล้วลุกขึ้นมามองรอบๆ แล้วเอ่ยอย่างงุนงง “พวกเรา…”
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเราทั้งนั้น” หนานกงมู่เสวี่ยจิกนิ้วของตัวเองลงกลางฝ่ามือพยายามให้ตัวเองเอ่ยอย่างสงบ “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่หรือ” ดูรูปการณ์แล้วเรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือของต้วนเฉินเซวียนแน่!
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมารำลึกเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เพราะหากใช้วิธีการเช่นนี้ นั่นก็คือจับหรงซู่มามัดไว้กับนางล่ะก็ นางกลับรู้สึกดูถูกตัวเองด้วยซ้ำ
“ข้าว่าไม่ใช่กระมัง” ผ่านไปครู่ใหญ่ หรงซู่จึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ “เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น..ดังนั้นตอนนี้พวกเราได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว”
มือของมู่เสวี่ยคลายออกเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองหรงซู่อย่างไม่เชื่อสายตา เพราะคำพูดนี้ของหรงซู่หมายความว่า…
“ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกละอายใจ” หนานกงมู่เสวี่ยกระพริบตาแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าเป็นจวิ้นจู่..ดังนั้น…”
“ดังนั้นข้ายิ่งไปไหนไม่ได้” หรงซู่เอ่ย “อีกอย่างก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่ารู้สึกผิดต่อข้าและอยากจะชดใช้ให้ไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าตอนนี้เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว คงจะแยกกันไม่ได้แล้วกระมัง เช่นนั้นก็ให้เป็นเช่นนี้เถิด เวลาหลังจากนี้…เจ้าก็ลองคิดดีๆ เถิดว่าจะชดใช้และขอโทษข้าอย่างไร
“มีเวลาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะอย่างไร ก็คงพอกระมัง”
อันที่จริงคำพูดของหรงซู่ในตอนนี้ถือว่าเขาได้พูดออกไปอย่างหมดเปลือกแล้ว เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูเหมือนว่าเขาโดนบังคับ แต่หากไม่พูด… ด้วยนิสัยของหนานกงมู่เสวี่ยแล้ว เขาอาจจะไม่ได้เจอหน้านางไปอีกตลอดชีวิต
เพราะนิสัยของหนานกงมู่เสวี่ยดื้อดึงแค่ไหน เขานั้นรู้ดีกว่าใคร อีกอย่างเหตุการณ์มาถึงตอนนี้ หรงซู่กลับรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ ดีใจที่…สุดท้ายเขาก็หาเหตุผลดีๆ ได้แล้ว?
เนื่องจากตอนที่ต้วนเฉินเซวียนตีเขาจนสลบในตอนนั้น อันที่จริงแล้วหรงซู่สามารถหลบได้ แต่เขากลับไม่หลบ เพราะเขารู้จักกับต้วนเฉินเซวียนมาหลายต่อหลายปีขนาดนี้มีหรือที่ต้วนเฉินเซวียนคิดจะทำอะไรแล้วเขาจะไม่รู้เลยสักนิด
ดังนั้นในตอนนั้นหรงซู่จึงยอมให้เป็นไปตามแผนการของต้วนเฉินเซวียน อีกอย่างหากเขาหมดสติไปโดยสิ้นเชิงและไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย แล้วเรื่องราวหลังจากนั้นเขาจะอธิบายอย่างไร
“หรงซู่…ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่” ความเข้าใจของหนานกงมู่เสวี่ยที่มีต่อหรงซู่แน่นอนว่าก็ไม่น้อยไปกว่าตัวของหรงซู่เอง ดังนั้นความหมายในคำพูดของหรงซู่… นางคงไม่ได้คิดไปเองใช่หรือไม่
“ข้ารู้” หรงซู่ยิ้มกว้าง “ถึงอย่างไรพวกเราสองคนไม่ว่าจะหลบเลี่ยงกันมากเท่าไหร่ก็คงหาจุดจบไม่ได้กระมัง มิสู้…ให้มันเป็นแบบนี้?” เหตุการณ์เช่นนี้น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดแล้ว
“ท่านไม่เสียใจ? ไม่โกรธ?”
“ไม่เสียใจ ไม่โกรธ” โกรธอะไรกัน ถึงอย่างไรก็ถือได้ว่าเขาเป็นผู้เข้าร่วมแล้ว คำว่าเสียใจ..เรื่องนี้เอาไว้พูดกันทีหลังจะดีกว่า
“อ้อ”
“อ้อ?” หรงซู่คล้ายไม่พอใจ “หมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่า ก็ให้เป็นเช่นนี้” หนานกงมู่เสวี่ยก้มมองผ้าห่มที่ยับอยู่คามือของนาง “ตอนนี้เสียใจก็คงไม่ทันแล้ว?”
“เจ้าเสียใจมากเลยหรือ!” คราวนี้เป็นหรงซู่บ้างที่ตกใจ ความหมายของหนานกงมู่เสวี่ยคืออะไร เสียใจที่นางกับเขา…? หรือว่าช่วงเวลาที่ไม่มีเขาอยู่ด้วย หนานกงมู่เสวี่ยกับเจ้าลู่หยวนเชิ่ง…!
“ข้าหมายความว่า นี่คือบทสรุปที่ดีที่สุดที่ข้าพอจะนึกออก” หนานกงมู่เสวี่ยยิ้มจนเห็นฟันครบแทบทุกซีก “หากนี่เป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของพวกเรา เป็นเช่นนี้…ก็ถือว่าไม่เลวเลย”
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหรงซู่ หากให้เปรียบเทียบแล้วก็เปรียบเสมือนเชือกที่ผูกเข้าเป็นปม ยิ่งอยากจะคลายออกทีละปมเท่าไหร่ก็มีแต่จะยิ่งทำให้พันกันวุ่นวายมากกว่าเดิม ดังนั้นหากต้องการจะแก้ปมออกทั้งหมด มิสู้ตัดทุกอย่างทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใยเช่นนี้ และให้ทุกอย่าง…เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด
“อืม” หรงซู่ยิ้มแล้วตอบรับ
ไม่ว่าจะอย่างไร การแยกจากคงไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว ดังนั้นก็ให้เป็นเช่นนี้ ให้ทั้งชีวิตนี้ผูกกันเช่นนี้ไปตลอด เขาก็ยอมรับอย่างเต็มใจ