ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 211-212
ตอนที่ 211 อำนาจชี้เป็นชี้ตาย
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของอนุสามก็แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน นางหันกลับมาในทันที จึงมองเห็นอวี้อาเหรากำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มที่อ่านไม่ออก
“โอ้ อนุสามเป็นอะไรไปเล่า หรือว่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปเสียแล้ว” ท่าทีของอวี้อาเหราดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด บนใบหน้าไม่เผยให้เห็นถึงความยินดียินร้าย ราวกับไม่ได้ยินวาจาเมื่อครู่นั้น นางมองจนอนุสามรู้สึกกระวนกระวาย รีบคุกเข่าลงกับพื้นในทันใด “คุณหนูรองได้โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยเพียงเลอะเลือนจนกล่าววาจาผิดไปเท่านั้น…”
“ท่านพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ” อวี้อาเหรายังคงไถ่ถามขึ้นมาอย่างไม่ลดละ
“ข้าน้อย…” จู่ๆ อนุสามก็กล่าวอะไรไม่ออก หรือจะให้นางกล่าววาจาเมื่อครู่นั้นอีกครั้งหรืออย่างไร เช่นนั้นนางจะต้องตายเป็นแน่แท้!
“อย่างไรเล่า” อวี้อาเหราเผยยิ้มออกมา น้ำเสียงยิ่งหนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ “หรือว่าเมื่อครู่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป ถึงได้อึกๆ อักๆ เช่นนี้”
“ไม่ๆๆ ข้าน้อยไม่กล้าเจ้าค่ะ” อนุสามรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ก่อนจะจนวาจาอีกครั้ง
อวี้อาเหราลูบปิ่นหยกที่ปักบนศีรษะอย่างละมุนละไม “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อย แต่หากมีใครกล้ากล่าววาจานินทาลับหลัง แล้วเผยแพร่ออกไปคนนอกจะพูดกันได้ว่าจวนหลิงอ๋องของเรานั้นเป็นแหล่งซ่องสุมของคนถ่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงต้องลงโทษ ‘คนถ่อย’ ให้จงหนัก”
“คะ…คุณหนูรองกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ” อนุสามตอบรับเสียงสั่น
“ในเมื่ออนุสามรู้อยู่แก่ใจก็ดีแล้ว เพราะหากต่อไปต้องโดนลงโทษจะได้รู้ว่าตัวเองผิดตรงที่ใด” อวี้อาเหราเหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้ม จากนั้นก็เหลือบมองไปทางอนุสี่ “ท่านบอกมา เมื่อครู่นี้อนุสามกล่าวว่าอะไร”
“ข้าน้อย…” อนุสี่พลันมีสีหน้าลำบากใจ หากนางบอกวาจาที่อนุสามกล่าวออกไปเมื่อครู่นี้ แน่นอนว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก…
อนุสามตกตะลึงในทันที สายตาจ้องมองอนุสี่นิ่งๆ ราวกับว่าอำนาจชี้เป็นชี้ตายในตอนนี้ได้อยู่ในมือของนางแล้ว
เจาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก้มหน้าลงเล็กน้อย ในใจคิดว่าครั้งนี้คุณหนูรองคงจัดการอนุสามอย่างไม่กระโตกกระตากดังที่คิดไว้ และในตอนนี้อำนาจชี้เป็นชี้ตายก็อยู่ในมือของอนุสี่ ขอเพียงให้นางพูดคำเมื่อครู่นี้ออกมา อนุสามผู้นี้ก็คงจะต้องตายเป็นแน่แท้
อนุสี่ลังเลอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา “เรียนคุณหนูรอง อนุสามกล่าวว่าต่อไปนี้หากท่านอ๋องจากไปแล้ว ในจวนแห่งนี้ก็มีเพียงนายน้อยสามคนเดียวที่เป็นบุรุษ ในอนาคตเขาจะได้สืบทอดจวนแห่งนี้ต่อ จึงเกรงว่าคุณหนูรองจะพลอยถูกรังแกไปด้วยเจ้าค่ะ…”
เมื่อได้ฟังวาจาเช่นนี้แล้ว คนทั้งหมดก็พากันตกตะลึง
วาจาของอนุสี่นี้กล่าวออกมาแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ในท่อนหลังนั้นนางได้เปลี่ยนความหมายในคำพูดไปหมดสิ้น
อวี้อาเหราเพียงแค่ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ยังดีที่อนุสามยังมีใจคิดเป็นห่วงข้า แต่เรื่องในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน ถึงกังวลไปก่อนก็คงไร้ประโยชน์”
ตัวนางเองตั้งใจที่จะโยนเรื่องนี้ให้อนุสี่เป็นผู้ตัดสิน เพื่ออยากจะรู้ว่านางนั้นมีความคิดเห็นอย่างไร แต่นี่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของนางนัก อนุสี่นั้นเป็นคนลื่นไหลมาแต่ไหนแต่ไร เมื่ออยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ก็ไม่มีเหตุขัดแย้งกับใคร เพราะฉะนั้นจึงสามารถเอาตัวรอดในจวนอ๋องแห่งนี้ได้ นับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง
อนุสามไม่คิดว่าอนุสี่นั้นกลับจะพูดเพื่อตัวนางเช่นนี้ ชั่วครู่นั้นนางก็พลันแปลกใจจนไม่มีสติ เวลาผ่านไปนานกว่าที่นางจะมองไปยังอวี้อาเหราพร้อมทั้งพยักหน้า “เจ้าค่ะ คุณหนูรองกล่าวถูกแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าที่จะคาดเดาส่งเดชหาเรื่องใส่ตัว”
ในใจของนางกลับกระวนกระวายยิ่งนัก เพราะไม่รู้ว่าอวี้อาเหราได้ยินในสิ่งที่นางพูดเมื่อครู่หรือไม่
ตอนที่ 212 ตั้งกฎ
หากบอกว่านางได้ยิน แล้วเหตุใดนางถึงยังยิ้มได้อย่างเรียบเฉยเช่นนั้น? หากบอกว่าไม่ได้ยิน แล้วเหตุใดจึงต้องทำทีอ้อมค้อมให้อนุสี่พูดด้วย นางก็คาดเดาความคิดของอวี้อาเหราไม่ออกเลย
“เอาเถิด ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรก็เตรียมตัวเข้างานเลี้ยงให้เร็วเสียหน่อย” อวี้อาเหรากล่าววาจา ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อย “อนุสี่รอก่อน ข้ามีเรื่องจะสั่งความท่านสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ” อนุสามมองดูพวกนางเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายเดินจากไป
เมื่อเห็นว่านางจากไปแล้ว อนุสี่ก็เงยหน้าขึ้น ยอบกายลงคารวะแล้วเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองมีอะไรจะสั่งความหรือเจ้าคะ”
“เรื่องที่จะสั่งนั้นไม่มีหรอก เพียงแต่มีคำถามอยากจะถามอนุสี่เท่านั้น”
“คำถามอะไรหรือเจ้าคะ” อนุสี่ตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะรีบถามกลับ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่อยากรู้ว่าเหตุใดเมื่อครู่อนุสี่จึงปล่อยนางไป” อวี้อาเหราเองก็ไม่ปิดบัง เอ่ยคำถามที่อยู่ในใจของตนเองออกมาโดยตรง อนุสี่ลอบมองนางแล้วจึงเอ่ยปากบอกอย่างสงสัย “ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าคุณหนูรองกำลังกล่าวถึงอะไร เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาข้าน้อยไม่ชอบที่จะขัดแย้งกับผู้ใด มีคำพูดที่กล่าวว่าเรื่องใดปล่อยไปได้ก็ควรปล่อย ข้าน้อยอยากให้ทุกคนต่างเป็นสุข ไม่ทราบว่าคำตอบเช่นนี้คุณหนูรองพอใจหรือไม่”
“อืม ข้าพอใจแล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า “ท่านไปเถิด”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัว” อนุสี่หมุนตัวแล้วเดินจากไป
เจาเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองอวี้อาเหรา “คุณหนู เหตุใดถึงไม่ออกปากลงโทษกับอนุสามโดยตรงล่ะเจ้าคะ”
“ออกปากลงโทษโดยตรงจะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ ข้าจะเหลือนางเอาไว้ให้ทรมานเล่น และจะทำให้ผู้อื่นได้รู้ว่าต่อไปนี้หากกล้ายั่วโมโหข้าแล้วจะมีจุดจบอย่างไร อีกอย่างก็ยังเป็นการตั้งกฎในจวนไปในตัว มิเช่นนั้นหากวันนี้อนุสามกล้าว่าร้ายข้าต่อหน้าคนในจวน ต่อไปคนอื่นๆ จะพูดอะไรบ้างก็ไม่รู้ เพราะอย่างนั้น…”
“เช่นนั้นคุณหนูจึงอยากจะเชือดไก่ให้ลิงดู เหมือนเช่นที่ทำกับอนุรองเมื่อเช้านี้ เพื่อให้พวกนางไม่กล้าที่จะหาเรื่องคุณหนูอีก” เจาเอ๋อร์เข้าใจเจตนาลึกๆ ของนางในทันที
อวี้อาเหราพยักหน้าด้วยความชื่นชม “เจาเอ๋อร์ เจ้าอยู่กับข้ามานานเพียงนี้ นับวันก็ยิ่งฉลาดขึ้นมากทีเดียวนะ”
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณหนูสั่งสอนเจ้าค่ะ พวกเราเข้าไปกันเถิด ยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้อากาศก็หนาวเย็นยิ่งนัก อีกไม่นานท่านอ๋องและอนุรองก็คงจะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์เอ่ยเตือนขึ้น
อวี้อาเหราเดินเข้าไปด้านใน ในห้องนั้นมีเตาผิงไฟ ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมาก
โต๊ะกลมทำจากไม้จันทร์แดงวางจานอาหารหลากหลายชนิด ส่งกลิ่นหอมหวนไปทั่วห้อง
“ท่านอ๋องเสด็จ!” เสียงองครักษ์จากด้านนอกดังขึ้น อวี้อาเหราและอนุอีกสองคนจึงเงยหน้าขึ้นมองตาม
หลิงอ๋องประคองอนุรองเข้ามาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าคนทั้งหมดมากันพร้อมแล้ว บรรยากาศรื่นรมย์กลมเกลียวตรงหน้าก็ทำให้เขาอดที่จะยิ้มแย้มขึ้นมาไม่ได้ “มากันครบแล้ว รีบนั่งลงเถิด”
“เพคะ” ทั้งสามพยักหน้า
หลังจากที่หลิงอ๋องเดินเข้ามานั่งแล้ว มองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นเยียนเอ๋อร์เสียเล่า”
“เยียนเอ๋อร์กล่าวว่าไม่ง่ายนักที่ในจวนจะมีเรื่องมงคล จำต้องดื่มสุราอวยพร เช่นนั้นนางจึงไปยังคลังเก็บสุราเพื่อไปนำเหล้ามาเพคะ นี่ก็เป็นเหล้าที่นางบ่มด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้สองสามวันได้ขุดขึ้นมาจากสวนหลังจวน ยามนี้ก็สบโอกาสพอดีเพคะ”
“เช่นนี้เองหรือ นางช่างเป็นลูกที่กตัญญูต่อมารดาของนางเสียจริง” หลิงอ๋องพยักหน้ารับอย่างยินดี
อวี้อาเหรามองไปยังอนุรองคราหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันหน้าไปทางหลิงอ๋อง “ลูกยินดีด้วยเพคะที่เสด็จพ่อทรงมีทายาท”
“ดีๆๆ” หลิงอ๋องเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งดีใจจนยิ้มไม่หุบ
เกรงว่านี่จะเป็นยิ้มกว้างที่มาจากใจนับตั้งแต่ครั้งแรกในรอบหลายวัน