ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 299-300
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 299 ธาตุไฟเข้าแทรก / ตอนที่ 300 เจ้าไม่ไหว
ตอนที่ 299 ธาตุไฟเข้าแทรก
อวี้อาเหราเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฝีเท้าก็หยุดลง หากนางไปแล้วพวกต้าเว่ยเล่าจะทำอย่างไร? หากพวกเขาหานางไม่เจอคงจะต้องร้อนใจเป็นแน่ แต่นางก็ไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้จะพานางไปที่ใด ขณะที่ในใจกำลังสับสนลังเล แต่เพื่อชีวิตของเจาเอ๋อร์แล้วนางก็จำต้องเดินตามหลังอีกฝ่ายไป
ส่วนพวกต้าเว่ย เดี๋ยวค่อยว่ากันเถิด…
พวกเขาเดินมาจนถึงกลางป่าแห่งหนึ่ง อวี้อาเหราที่แบกเจาเอ๋อร์อยู่บนหลังย่อมเดินได้ช้าเป็นธรรมดา ทว่าชายชราหลังค่อมผู้นั้นกลับเดินได้อย่างรวดเร็วราวกับเหินบิน ทิ้งนางไว้ด้านหลังออกไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ และเพราะกลัวว่าจะคลาดกัน นางจึงจำต้องพยายามที่จะตามไปให้ทัน หากเป็นหญิงสาวปกติธรรมดา ไหนเลยจะแบกคนคนหนึ่งเอาไว้แล้ววิ่งตามมาได้
และก็มีเพียงคนเช่นนางเท่านั้นถึงทำได้
เมื่อเดินลึกเข้ามาในป่าก็เห็นเรือนไม้อยู่ตรงหน้า มองดูแล้วสะอาดสะอ้านเป็นอย่างมาก เพียงแต่มีบางส่วนที่ชำรุดไปบ้าง
หลังจากที่ชายชราเดินเข้ามาด้านในแล้ว อวี้อาเหราเองก็เดินตามเข้ามาด้วย
ทว่าเพียงเท้าสัมผัสลงบนพื้นเรือน ก็พบกับเงาร่างที่คุ้นตา
เห็นเพียงฉู่ป๋ายนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน หลับตาลงคล้ายกับกำลังเดินลมปราณ บนอาภรณ์สีขาวของเขามีเลือดไหลซึมอยู่ไม่น้อย ช่างโดดเด่นสะดุดตาจนทำให้คนตกตะลึง อดคิดไม่ได้ถึงอาการป่วยของเขาที่กำเริบขึ้นมา สีหน้าดูเหนื่อยล้า ทั้งขาวซีดและดูอ่อนแรง ร่างกายผ่ายผอมลงกว่าเดิมมากทีเดียว
นางตื่นตระหนกตกใจ เมื่อกำลังคิดที่จะร้องเรียกก็ถูกชายชราร้องขัดขึ้น “อย่าได้เรียกเขาส่งเดช ตอนนี้เขากำลังเดินลมปราณเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ หากเข้าไปขัดขวางเขาจะมำให้เกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกได้”
“อ้อ ข้าทราบแล้ว” อวี้อาเหราหยุดวาจาลงในทันใด ไม่กล้าที่จะทำอะไรตามอำเภอใจอีก
แต่ว่าเหตุใดฉู่ป๋ายถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
แล้วเหตุใดเขาถึงมาอยู่กับชายชราผู้นี้ นี่ก็ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
ช่างเขาก่อนเถิด ก่อนอื่นนางวางเจาเอ๋อร์ที่อยู่บนหลังของตัวเองลงบนเตียง หันหน้ามาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านผู้เฒ่า ภูเขาด้านหลังที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่นี้ มันอยู่ที่ใดหรือ”
“อยู่ข้างๆ นี่ล่ะ แต่เจ้าจำต้องออกไปจากตลาดมืดเสียก่อน” ชายชรานึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ
“อืม” อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
บรรยากาศรอบด้านเงียบสงบลงไปสักพัก จนกระทั่งฉู่ป๋ายค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อมองเห็นนางแล้ว ในเบื้องลึกของสายตาก็เผยให้เห็นถึงแววประหลาดใจและตกตะลึง ทั้งสองต่างจ้องมองกันอย่างนิ่งอึ้ง เวลาผ่านไปชั่วครู่ อวี้อาเหราถึงค่อยหาเสียงของตัวเองจนเจอ “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
เมื่อพูดขึ้นมาเช่นนี้ก็พลันได้สติขึ้นมาในทันใด นางมองชายชราแล้วหันไปมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก “เจ้าคงรู้จักเขาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ หากเจ้ารู้มาตั้งแต่แรก เหตุใดถึงได้หลอกข้าว่าไม่รู้จักเล่า”
“ข้าก็ไม่รู้จักจริงๆ” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า มองมาที่นางด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าได้ยินหลิงอ๋องกล่าวว่าเจ้าแอบหนีออกมาจากจวน ที่แท้ก็มายังตลาดมืดแห่งนี้นี่เอง เจ้าก็มาเพื่อตามหานักพรตเฒ่าหรือ? แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับท่านผู้เฒ่าตรงไหนกัน”
“ไม่ใช่หรือ” อวี้อาเหราตื่นตกใจขึ้นมา
นางยังคิดว่าฉู่ป๋ายจงใจจะปิดบังเรื่องราวของนักพรตชรา และเมื่อเห็นว่าเขาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้นางคิดว่าคนทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน แต่เมื่อเห็นท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวของฉู่ป๋ายแล้ว นางก็เชื่อว่าเขาคงจะไม่รู้จักจริงๆ
ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าชายชราผู้นี้ก็ไม่ใช่นักพรตเฒ่าหรือ
ก่อนหน้านี้ในใจของนางก็รู้สึกสงสัยมาโดยตลอด แต่ว่าเมื่อยิ่งมองดูแล้วท่านผู้เฒ่าผู้นี้ก็ยิ่งดูเหมือนจะไม่ใช่
ฉู่ป๋ายพยักหน้าน้อยๆ “ข้ามาเพื่อหายารักษาโรค แต่เมื่อมาถึงจู่ๆ อาการก็กลับกำเริบขึ้นมาเสียก่อน หลังจากนั้นถึงได้เป็นลมหมดสติไป เมื่อพบกับท่านผู้เฒ่า เขาจึงได้ช่วยพาข้ามาที่นี่”
“แล้วหานสือเล่า เหตุใดถึงไม่พบเขาเลย” อวี้อาเหรารู้สึกแปลกใจ ปกติแล้วหานสือมักจะตามติดเขาอยู่แทบจะเป็นเงาตามตัว แทบจะไม่เคยห่างกันเลยแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดถึงปล่อยให้เขามาหายาถึงตลาดมืดเช่นนี้
“เขาออกไปหาของกินแล้ว” ฉู่ป๋ายตอบ
ตอนที่ 300 เจ้าไม่ไหว
“พวกเจ้าสองคนพูดจบแล้วหรือไม่”
ในยามนี้ ชายชราก็เอ่ยขึ้นตัดบทสนทนาของคนทั้งสอง ก่อนหยิบถ้วยยาสีดำร้อนๆ ส่งให้กับฉู่ป๋าย เมื่อมองเห็นท่าทีสงสัยของคนทั้งสองแล้ว เขาจึงเอ่ยปากอธิบายไปพลางว่า “นี่เป็นยาระงับอาการป่วยของเจ้าชั่วคราว ยังไม่รับไปอีก กลัวว่าข้าจะใส่ยาพิษลงไปหรืออย่างไร”
“ไม่ได้กลัว” ฉู่ป๋ายไม่ลังเล รับยาจากมือของเขามาแล้วดื่มลงไปจนหมดในคำเดียว
เมื่อเห็นเขาดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้ว สายตาของชายชราก็เต็มไปด้วยความชื่นชม “เจ้านี่ช่างตรงไปตรงมายิ่งนัก ไม่เหมือนแม่นางน้อยนางนี้เลย”
“ท่านว่าอะไรนะ” อวี้อาเหราจ้องมองเขาเขม็ง กล้าที่จะทำลายภาพพจน์ของนางต่อหน้าฉู่ป๋ายเช่นนี้ หากหลังจากนี้นางกลับไปยังเฟิ่งเฉิงแล้วจะอยู่ได้อย่างไรกัน นี่ก็ไม่อาจทนได้อีกแล้ว เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น แต่นางก็แอบก่นด่าตาเฒ่านี่ในใจไปหลายยกทีเดียว
อะไรที่เรียกว่าแก่กะโหลกกะลาน่ะหรือ ก็คือสิ่งนี้อย่างไรเล่า!
“แม่นางน้อย เจ้าอย่าได้เห็นว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วจะรังแกข้าได้!” ชายชราหลบอยู่ด้านหลังของฉู่ป๋าย มองนางด้วยความหวาดผวาอย่างถึงที่สุด ตกใจเสียจนพูดติดๆ ขัดๆ เรื่องการแสดงนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจสู้เขาได้จริงๆ
แม้แต่อนุรองที่ชอบเล่นบทโศกดูน่าสงสารก็คงจะไม่ใช่คู่มือของเขากระมัง
ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด ประโยคนี้ก็กล่าวไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย!
อวี้อาเหราพยายามที่จะอดทนอดกลั้นความโกรธของตัวเองเอาไว้ สายตามองไปทางฉู่ป๋าย “เจ้าช่วยข้าตัดสินทีเถิด ว่าเป็นใครรังแกใครกันแน่”
“สีหน้าของเจ้าก็ดูน่ากลัวอยู่บ้าง…” ฉู่ป๋ายไตร่ตรองแล้วเลือกใช้คำ
เมื่อมองสีหน้าของนางอย่างพินิจ สองคิ้วของนางยกเฉียงขึ้น ดวงตาจ้องตรงมาเขม็ง ท่าทีดุร้าย สีหน้าเช่นนี้ใครเห็นก็ต้องขนลุกสันหลังวาบด้วยกันทั้งนั้น หากกล่าวตามตรงแล้วก็ดูน่ากลัวอยู่บ้างเล็กน้อย เขาก็ไม่ได้พูดผิดไปเสียหน่อย
อวี้อาเหราไม่ได้ส่องกระจกจึงไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าตาน่ากลัวเพียงใด เมื่อได้ยินฉู่ป๋ายพูดเช่นนี้แล้วนางก็โกรธเสียจนควันออกหู พยายามสั่งให้ตัวเองสงบจิตสงบใจไว้ เพราะเห็นว่าตอนนี้เขากำลังป่วยอยู่ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วนางก็ทำได้แต่เพียงกลืนความโกรธลงท้องไปก็เท่านั้น
รอจนความโกรธของนางค่อยๆ บรรเทาลง ชายชราจึงค่อยเดินออกมาจากด้านหลังของฉู่ป๋าย แล้วบ่นพึมพำต่อไปอย่างไม่กลัวตาย “เจ้ายังจะมัวชักช้าอะไรอยู่อีก คิดที่จะช่วยคนจริงๆ หรือไม่ หากยังไม่ไปอีกนางคงได้ตายแน่!”
“แน่นอนว่าต้องไปซี” อวี้อาเหราได้สติกลับมา นางมองไปยังฉู่ป๋าย “เจ้าช่วยดูแลเจาเอ๋อร์แทนข้าที อย่าให้ตาเฒ่านี่ก่อเรื่องชั่วร้ายอะไรขึ้นมาอีก ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา”
เมื่อพูดจบนางก็หมุนตัวแล้วจากไป ทว่าฉู่ป๋ายกลับลุกยืนขึ้น แล้วเรียกนางเอาไว้ “ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน จะได้ไปเก็บสมุนไพรด้วย อีกอย่างเจ้าก็คงไม่รู้ว่าทางไปภูเขานั้นไม่ค่อยราบเรียบเท่าใดนัก หากเจ้าไปคนเดียวไม่แน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องอันตรายได้”
น้ำเสียงของเขาที่พูดออกมานั้นไม่ช้าและไม่เร็ว เสียงนั้นกังวานสดใสดังน้ำพุ เมื่อได้ฟังแล้วย่อมอยากฟังอีก สุดท้ายก็เอาแต่หลงใหลอยู่เช่นนั้น นี่ก็คงต้องกล่าวว่า น้ำเสียงของฉู่ป๋ายนั้นน่าฟังเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังใบหน้าที่งดงามเป็นหนึ่ง ในโลกนี้คงไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้อีกแล้ว
หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย นางก็ส่ายหน้า “เจ้ายังป่วยอยู่ หากเจ้าไปด้วยข้าก็ต้องดูแลเจ้าอีกน่ะสิ”
แม้วาจาจะไม่น่าฟัง แต่คำพูดของนางก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่มาก
ฉู่ป๋ายหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าก็คิดว่าข้าทำอะไรไม่เป็นใช่หรือไม่”
“อืม” อวี้อาเหราไม่มองใบหน้าที่มืดครึ้มของเขา จากนั้นก็พยักหน้าลง “เจ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน”
“ข้าไม่ไหวหรือ” ใบหน้าขาวซีดของฉู่ป๋ายยิ่งถมึงทึงเข้าไปอีก
“อะแฮ่มๆ” ชายชราฟังจนใบหูแดงเถือกไปหมด มองพวกเขาทั้งสองคนด้วยสายตาสื่อความหมาย “ที่พวกเจ้าว่าเจ้าไม่ไหวข้าไม่ไหวอะไรเนี่ย ตกลงเป็นใครกันแน่ที่ไม่ไหว?”