ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 323-324
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 323 ลงครัว / ตอนที่ 324 ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ
ตอนที่ 323 ลงครัว
อวี้อาเหราเอนกายนอนลงบนเตียงของฉู่ป๋าย แต่ไม่ว่าจะพลิกตัวไปมาอย่างไรนางก็นอนไม่หลับ ท้องของนางเริ่มร้องครวญครางด้วยความหิว ขนมที่นำติดตัวมาไม่กี่ชิ้นนั้นนางก็ทานหมดไปนานแล้ว เหลือเพียงจานว่างเปล่าที่วางอยู่ตรงนั้น หรือนางจะต้องแทะจานเปล่าหรืออย่างไร?
เดิมทีนางก็คิดที่จะไปหาอะไรรองท้องเสียหน่อย แต่ก็กลัวว่าจะพบเข้ากับพวกเมี่ยวอวี้ที่อยู่ด้านล่างแล้วจะทำตัวไม่ถูก นางที่ทนท้องกิ่วมาเป็นเวลากว่าชั่วยามแล้ว เมื่อมองเห็นว่ายิ่งดึกขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นก็ตะกายลุกขึ้นมาจากเตียง สวมเสื้อผ้าแล้วโผล่หน้ามองลงมายังชั้นล่าง เห็นว่าพวกเมี่ยวอวี้ก็ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว เช่นนั้นในใจนางก็รู้สึกยินดี รีบเดินลงมาในทันที
หากจะไปห้องครัวก็จะต้องผ่านโต๊ะเก็บเงินของหลงจู๊ของโรงเตี๊ยม
ดึกป่านนี้แล้ว แต่หลงจู๊ก็ยังคงนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ นี่เขาก็ไม่รู้จักไปหลับไปนอนหรืออย่างไร
อวี้อาเหราจงใจลงฝีเท้าอย่างแผ่วเบาแล้วเดินไปข้างหน้า ขณะที่กำลังจะเดินอ้อมไปนั้น หลงจู๊ก็พลันตื่นขึ้นมาทันที เมื่อเห็นนางเข้าความง่วงงุนที่มีอยู่ก็ถูกขจัดออกไป ร้องขึ้นด้วยใบหน้าเหยเก “คุณหนู ท่านคิดจะทำอะไรอีกหรือ ข้าก็มอบโรงเตี๊ยมนี้ให้กับท่านแล้ว ไม่มีของอะไรมากหรอก เหลือเพียงของส่วนตัวที่จะเอาใส่ไว้ในโลงศพเท่านั้น หากท่านต้องการก็ย่อมได้ แต่ขอให้ท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”
“อะแฮ่ม” อวี้อาเหราเลียนแบบท่าทีกระแอมไอของฉู่ป๋าย ใบหน้าฉายรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าก็ไม่ได้ต้องการของใส่ในโลงศพของเจ้า”
“หา? คุณหนูได้โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด!” หลงจู๊เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของนางแล้วก็ปีนขึ้นมาจากโต๊ะเก็บเงิน
อวี้อาเหราเห็นท่าทางเกรงกลัวของเขาเช่นนี้ นางก็เหงื่อแตก “เจ้าจะกลัวอะไรกัน ข้าไม่กินเจ้าหรอกน่า”
นางไม่ค่อยยิ้มให้ใคร แต่กลับถูกแปลเจตนาว่าอยากจะฆ่าคนเสียอย่างนั้น นางก็หน้าตาน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แต่นางเองก็กลับหลงลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปเสียแล้วว่านางเองก็เคยข่มขู่หลงจู๊ผู้นี้เอาไว้อย่างไร
หลงจู๊ส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่ได้กลัว…”
อย่างนี้น่ะหรือที่ไม่กลัว? อวี้อาเหราถอนหายใจออกมา น้ำเสียงกลับไปเป็นเหมือนเช่นเดิม “ดึกเพียงนี้แล้วเจ้าก็ไปพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้ยังต้องเตรียมอาหารเช้าให้พวกเราอีก ค่าอยู่กินหลายวันมานี้ก็จดบัญชีไว้แล้วกัน ก่อนไปข้าจะจ่ายเงินให้”
“ไม่ต้องหรอกขอรับคุณหนู…” หลงจู๊ได้ยินน้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินจากนางมาก่อนเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้ารับไว้ได้ กลังว่านางจะเล่นแง่อะไรกับเขาอีก หากเขากล้าที่จะรับเงินจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องตายเช่นไรกัน
“ข้าบอกว่าจะให้ก็ให้สิ ไปเถิด” อวี้อาเหราขี้เกียจพูดกับเขาให้เปลืองน้ำลายอีก
“ขอรับๆๆ ข้าน้อยขอลา” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลงจู๊ก็ก้าวขาวิ่งหนี ราวกับกลัวว่าอวี้อาเหราจะวิ่งตามมากัดเขากระนั้น นางเหยียดริมฝีปากด้วยความแหนงหน่าย แล้วเดินไปยังห้องครัวด้วยอารมณ์เบิกบาน ไม่มีใครคอยขัดหูขัดตาเช่นนี้แล้ว ทีนี้นางก็สามารถไปห้องครัวได้เสียที!
เมื่อมาถึงห้องครัว นางกลับเห็นเพียงหม้อและกระทะที่ว่างเปล่ารวมไปถึงเตาไฟที่เย็นเฉียบ อีกทั้งยังสะอาดสะอ้าน ไม่มีของอะไรที่นางจะนำมาทานได้เลย แม้แต่ซาลาเปาหรือหมั่นโถวสักลูกก็ยังไม่มี ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก นั่งยองๆ ลงกับพื้นด้วยความหดหู่อยู่เป็นนาน นางถึงได้ปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงแล้วลุกยืนขึ้น
ในเมื่อไม่มีอะไรที่พอจะทานได้ ก็มีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้นแล้ว นางคงจะต้องลงครัวด้วยตัวเองดูสักครั้ง
ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วจุดไฟเตรียมทำอาหาร หากเทียบกับการที่จะต้องไปนอนกลางดินกินกลางทรายแล้ว การจุดไฟทำอาหารถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยยิ่งนัก เดิมทีก็ยังมีเนื้อหมูอยู่อีกชิ้นหนึ่ง นางจึงคิดที่จะทำเนื้อหมูผัดพริกง่ายๆ แต่เพียงแค่หั่นเนื้อหมูออกเป็นชิ้นๆ ก็เปลืองแรงนางอยู่เป็นนานทีเดียว นางเหนื่อยเสียจนหลังขดหลังแข็ง ฝีมือการหั่นของนางนั้นก็ถดถอยลงไปมากจริงๆ ก่อนหน้านี้ถึงแม้นางจะขี้เกียจทำอาหาร แต่ฝีมือก็ยังพอนับว่าใช้ได้อยู่ เพียงหมูผัดพริกเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำจนเสร็จเรียบร้อย
เมื่อได้กลิ่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะลิ้มลอง รสชาติก็ไม่เลวนัก เพียงแต่ในครัวก็เหลือเพียงข้าวสวยที่เย็นชืดเท่านั้น
ตอนที่ 324 ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ
เดิมทีนางก็ขี้เกียจที่จะอุ่นข้าวให้ร้อน แต่ว่าในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเย็นเสียจนทำให้ตัวแข็งถึงเพียงนี้ แม้แต่ข้าวก็แข็งเย็นเสียจนจะกลืนไม่ลง จึงต้องทำให้ร้อนเสียหน่อยเท่านั้น หลังจากทำทุกอย่างจนเรียบร้อยอย่างไม่ง่ายดายนัก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเข้ามาจากทางด้านนอก นางตกตะลึงขึ้นมาในทันที ก่อนจะทอดสายตามองออกไปด้านนอก คิดไม่ถึงว่าดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้วจะมีใครมาที่นี่อีก
แต่ที่นางเห็นนั้นกลับเป็นฉู่ป๋ายที่สวมเสื้อคลุมแล้วกำลังเดินเข้ามาจากทางด้านนอก ทั้งสองคนต่างก็ได้พบหน้ากันอีกครั้ง
อวี้อาเหราชายตาขึ้นมองในทันใด “ไม่ทราบว่าซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋องผู้สูงศักดิ์มาที่ห้องครัวด้วยกิจธุระอันใดหรือ”
“…” ฉู่ป๋ายไม่สนใจวาจาที่จงใจกวนประสาทของนาง เขาดมกลิ่นหอมก่อนจะเดินมาตรงหน้าจานอาหารที่อวี้อาเหราทำขึ้นอย่างไม่ง่ายดายนัก ทันใดนั้นทรุดกายนั่งลง ใช้ตะเกียบคีบมาลองชิมคำหนึ่ง “รสชาติก็นับว่าพอฝืนทานได้ เพียงแต่หน้าตาก็ไม่น่าทานเท่าไรนัก”
“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าชิมเสียหน่อย เจ้ามาที่นี่คิดจะสร้างเรื่องอะไรอีก” อวี้อาเหราหมดคำจะพูด
ฉู่ป๋ายชะงักไป รอยยิ้มยิ่งเบิกบานมากยิ่งขึ้น “เมื่อครู่นี้เจ้าก็ถามข้าว่ามาที่ห้องครัวทำไมน่ะหรือ แล้วเจ้าที่เป็นธิดาเอกแห่งจวนหลิงอ๋องเล่า มาทำอะไรในห้องครัวนี่กัน?”
“มากินข้าว!” อวี้อาเหราขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับเขา ตอนนี้ท้องของนางร้องประท้วงใหญ่แล้ว ไม่ปล่อยให้นางได้พักเลยสักนิด
ท่าทางของฉู่ป๋ายดูราวกับตกตะลึง ก่อนจะมองไปยังอาหารจานนั้น “หรือว่าอาหารจานนี้เป็นอาหารที่คุณหนูรองลงมือทำด้วยตัวเอง? ไม่คิดเลยว่าคุณหนูที่อยู่ในห้องหอ ที่ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่เล็กเช่นเจ้า เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็มีข้าวมาป้อนให้ กลับจะทำอาหารเป็นด้วย นี่ก็ช่างทำให้ข้าตกใจยิ่งนัก”
“ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ!” อวี้อาเหราเบ้ปากอย่างหมดความอดทน พลั้งปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว นี่มันยุคสมัยใดกันแล้ว เวลาพูดต้องใช้คำโบราณงดงามเนิบนาบ ช่างน่าเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก ถ้าหากว่านางไม่ใช่ธิดาตระกูลใหญ่ แล้วต้องเกรงกลัวสถานะเขาเช่นนี้ นางก็คงอดไม่ไหวด่าทอเขาออกไปเสียนานแล้ว
ฉู่ป๋ายชะงักไปเพราะคำพูดของนาง “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า ไหนเลยนางจะกล้ายอมรับว่าตัวเองพูดคำหยาบกันเล่า
คิ้วของฉู่ป๋ายเลิกขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดข้าฟังแล้วถึงได้รู้สึกราวกับว่าเจ้ากำลังด่าทอข้าอยู่เลยเล่า”
“ข้าด่าเจ้าหรือ ไม่นี่ เมื่อไรกัน!” อวี้อาเหราตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมรับ เช่นนั้นจึงใช้โอกาสนี้ในการเดินไปตักข้าวมาหนึ่งถ้วย เมื่อทานรวมกับอาหารง่ายๆ ท้องก็หิวขึ้นมา ไหนเลยจะยังสนใจเรื่องอะไรได้อีก แค่มีเนื้อให้ทานก็เพียงพอแล้ว
ฉู่ป๋ายหยุดมือของนางไว้ พลางเลิกคิ้วขึ้นถาม “เช่นนั้นเมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอะไร ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ?”
“ใช่แล้ว ตกใจกับแม่เจ้าน่ะสิ ความหมายก็คือแม่ของเจ้างดงามจนชวนตกตะลึงอย่างไร” อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองมือของเขา ก่อนจะออกแรงเพื่อสะบัดมือเขาให้หลุดแต่ไม่เป็นผล กำลังของเขาก็มากมายนัก นางเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างนั้นดวงตาของนางก็พลันวาบประกายขึ้นมา พูดแก้ตัวไปเรื่อย
“เช่นนั้นเจ้าก็กำลังชื่นชมข้าอยู่หรือ” ฉู่ป๋ายพยักหน้าลงราวกับเข้าใจขึ้นมาในทันที ก่อนจะปล่อยมือของอวี้อาเหราออก จ้องมองนางอย่างจริงจัง “โบราณกล่าวไว้ว่า มารยาทต้องมาจากทั้งสองฝ่าย ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงต้องตอบกลับเจ้าไปบ้าง ตกใจแม่เจ้าน่ะสิ”
“แค่กๆ” อวี้อาเหราแทบจะสำลักอาหารออกมา อาหารติดอยู่ในลำคอเป็นนาน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท่าทางราวกับก้างติดคอ ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัด และไม่อาจตอบโต้ใดๆ ได้ นางก็สงสัยจริงๆ ว่าชายผู้นี้มีสติปัญญาเพียงใด ราวกับเขารู้ความหมายแล้วใช้โอกาสนี้ด่านางกลับ และก็เหมือนเว่าขานั้นตอบกลับมาอย่างเคารพนางเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้จึงยากที่จะเอาคืนได้
ผ่านไปนานนัก นางจึงค่อยหาเสียงของตัวเองเจอ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างสว่างไสว
ฉู่ป๋ายก้มหน้าลง “เจ้าก็ไปหยิบชามมาให้ข้าเถิด”
“เอามาทำอะไร” อวี้อาเหราสงสัย
“กินข้าว” ฉู่ป๋ายครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยคำง่ายๆ ออกมาเพียงสองคำ
“จะกินข้าวก็ไปหยิบเองสิ หวังว่าจะให้ใครไปหยิบให้กัน ข้าก็ไม่ใช่องครักษ์ของเจ้านะ และข้าก็ไม่ใช่คุณหนูพวกนั้นด้วย อาศัยอะไรให้ข้ามาดูแลเจ้ากัน หากอยากกินข้าวก็ไปเรียกหานสือมาช่วยเตรียมให้เสียสิ”