ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 329-330
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 329 ตาบอดกันทั้งหมด / ตอนที่ 330 ที่มีก็คือเงิน
ตอนที่ 329 ตาบอดกันทั้งหมด
“ลูกพี่ลูกน้องของท่าน? นายน้อยแห่งจวนราชเลขากรมกลาโหมน่ะหรือ” ฉู่เกอเงยหน้าขึ้น นึกทบทวนในสมองอย่างละเอียด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ตอนเด็กๆ ข้าจำได้ว่าเขามักจะชอบวิ่งตามหลังท่านเสมอ สลัดเช่นไรก็ไม่หลุด”
“ไม่ผิดแล้ว เขานั่นละ” อวิ๋นเซิ่นพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มขึ้น “เจ้าอย่าได้พูดถึงลูกพี่ลูกน้องของข้าเช่นนั้นเลย เจ้าเองเมื่อก่อนก็เอาแต่วิ่งตามพี่ชายของเจ้าเหมือนกัน แต่พี่เจ้าก็ไม่เหมือนกับพวกเรา เขามักจะชอบอยู่คนเดียวเสมอ จนทำให้เจ้าก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในจวนไม่โผล่ไปไหนด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิ จนถึงตอนนี้แล้วฉู่ฉู่ก็ยังมีนิสัยเช่นนี้อยู่” ฉู่เกอพยักเพยิดใบหน้าอย่างหนักแน่น
ฉู่ป๋ายจ้องมองนางนิ่ง “แล้วนิสัยของข้าไม่ดีตรงไหนกัน”
“ไม่หรอก ดียิ่งนักเจ้าค่ะ!” เมื่อเห็นเขาใช้สายตาสุ่มเสียงเช่นนั้นมองนาง ฉู่เกอก็รีบส่ายหน้าอย่างรู้งาน “ไหนเลยข้าจะกล้าพูดว่าท่านไม่ดีกัน หากกล่าวไปแล้วนี่ก็ไม่ต้องไปโทษผู้ใดเลย เป็นเพราะพี่เซิ่นเอ๋อร์บังคับข้าให้พูดต่างหาก ไม่อย่างนั้นไหนเลยข้าจะกล้าพูดว่าท่าน”
“เกอเอ๋อร์” สีหน้าของฉู่ป๋ายเปลี่ยนไป กลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที
ฉู่เกอรู้ทันทีว่าตัวเองได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดเสียแล้ว เช่นนั้นจึงก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด แต่ไหนแต่ไรมาฉู่ป๋ายก็อ่อนโยนต่อนางเสมอ แม้ว่านางจะเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา แต่เมื่อได้สัมผัสถึงจุดที่ลึกที่สุดในจิตใจของเขาแล้ว แม้แต่นางก็ยังรู้สึกกลัว พี่ชายของนางนั้นไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้เลย
อวี้อาเหราไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนี้เลย นางกลับพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าพูดถูกแล้ว นิสัยของเขาก็ไม่ได้นับว่าดีอะไรนักหรอก”
“คุณ…คุณหนูรอง?” ฉู่เกอไม่กล้าเงยหน้า เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ น้ำเสียงของตัวเองก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมา คนอื่นไม่อาจทราบถึงอารมณ์ของฉู่ป๋าย แต่คนที่อยู่ร่วมกับเขามานานปีเช่นนางจะดูไม่ออกเชียวหรือ? ตอนนี้เขาคงโกรธนางเสียแล้ว แต่อวี้อาเหรากลับพูดสอดขึ้นมาเช่นนี้อีก นางกำลังรนหาที่ตายหรืออย่างไรกัน
นางลอบสังเกตถึงบรรยากาศเย็นชารอบๆ ด้วยลมหายใจแผ่วเบาระมัดระวัง
ฉู่ป๋ายคลายความเย็นชาลง แล้วหันไปยิ้มบางให้กับอวี้อาเหรา “อืม ข้านิสัยไม่ดี แล้วนิสัยของเจ้าเล่า เมื่อเทียบกันดูแล้วก็คงไม่ห่างกันเท่าใดหรอกกระมัง”
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน? นิสัยข้ามีตรงไหนที่ไม่ดี” ความโกรธของอวี้อาเหราค่อยๆ พวยพุ่งขึ้นมา
ฉู่เกอและชิงอวิ๋นจ้องมองคนทั้งสองด้วยความตกตะลึง
นี่ฉู่ป๋ายเป็นอะไรไป? คนที่ยั่วโมโหเขานั้นไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลย หากเป็นคนอื่นที่พูดขึ้นมาเช่นนี้ก็คงจะโดนตีเสียจนแย่แล้วกระมัง ไหนเลยจะยังยืนอยู่ได้ เมื่อคิดเช่นนี้ในใจของฉู่เกอก็เต้นระรัว คงจะมีเพียงอวี้อาเหราที่กล้าพูดกับพี่ชายของนางเช่นนี้
แม้แต่นางเองก็ยังไม่กล้ายั่วยุโมโหเขาในยามนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่สิ่งที่น่าแปลกจริงๆ ก็คือ ฉู่ป๋ายกลับไม่มีท่าทีไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย เขายังคงล้อเล่นกับอวี้อาเหราต่อไป
นี่เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าอวี้อาเหรากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นางโมโหโกรธาเป็นการใหญ่เพราะคำพูดของฉู่ป๋ายเมื่อครู่นี้
ฉู่ป๋ายยิ้มบาง มองไปทางฉู่เกอและอวิ๋นเซิ่น “อืม ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลย คงเป็นเพราะข้าตาบอดกระมัง พวกเจ้าว่านางนิสัยเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรื่องนี้…” ถึงคราวที่ฉู่เกอและอวิ๋นเซิ่นจะต้องลำบากใจเสียแล้ว เห็นท่าทีของอวี้อาเหราที่โมโหจนใกล้จะระเบิด แทบจะไม่มีความอดกลั้นหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แล้วนิสัยดีที่ว่านี่มันคืออะไรกัน อีกอย่าง หากพูดความจริงไปก็คงจะเป็นการยั่วโมโหกันเสียเปล่าๆ ไม่ว่าจะตอบเช่นไรก็ไม่มีผลดีทั้งนั้น
“ดูแล้ว พวกนางก็คงจะตาบอดเหมือนกับข้าเสียกระมัง” ฉู่ป๋ายยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
ฉู่เกอมองคนทั้งสองกำลังสู้รบปรบมือกัน แม้แต่ครึ่งคำก็ไม่อาจเช่นขัดขึ้นมาได้เลย
ตอนที่ 330 ที่มีก็คือเงิน
“พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน นิสัยดีไม่ดีอะไรหรือ ข้าพลาดเรื่องสนุกอะไรไปหรือไม่” ในยามนี้ จวินอู๋เหินก็เดินเข้ามาพร้อมพูดขึ้น สายตาที่แฝงด้วยประหลาดใจมองกวาดไปทั่ว
ที่ด้านหลังของเขายังมีคนอีกสองคนเดินตามเข้ามา ที่แท้ก็คือองค์ชายจากเป่ยเจียงและเริ่นหว่านเอ๋อร์นั่นเอง
ทั้งสองยืนเว้นระยะห่างกันมาก สีหน้าเย็นชาไม่พูดไม่จา เพียงดูก็รู้ว่าคนทั้งคู่กำลังทำสงครามเย็นกันอยู่ หากเป็นยามปกติเริ่นหว่านเอ๋อร์คงต้องตามติดเขาแจแล้ว แต่วันนี้นางกลับเงียบขรึม หลายครั้งที่คนทั้งสองมองสบตากันอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็กลับเบนสายตาไปทางอื่นในทันที
ฉู่เกอยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านอยากรู้หรือว่าเมื่อครู่นี้พวกเราคุยอะไรกัน”
“อยากสิ” จวินอู๋เหินพยักหน้าอย่างจริงจัง
“เช่นนั้นก็ดี ขอเพียงท่านจ่ายเงินข้ามาร้อยตำลึงเงิน ข้าก็จะบอกท่านว่าเมื่อครู่นี้พวกเราคุยกันเรื่องอะไร” ยื่นมือขาวนวลไปทางจวินอู๋เหิน สองตายิ้มจนตาหยี บนใบหน้าของฉู่เกอมีลักยิ้มสองข้าง ยามยิ้มจึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน นางนั้นผิวขาวนัก ขาวจนผิวเนื้อเป็นสีชมพู ไม่ดูขาวซีดขี้โรคเหมือนฉู่ป๋ายเลยแม้แต่น้อย
คงจะเป็นเพราะความเป็นอยู่ที่ดีตลอดหลายปีมานี้ มิเช่นนั้นคงไม่แข็งแรงถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้ได้ยินหานสือบอกว่า เป็นเพราะนางใช้เลือดคอยควบคุมโรคกระหายโลหิตของฉู่ป๋ายมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ เมื่อฉู่ป๋ายเริ่มฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนแล้วจึงส่งนางไปยังค่ายทหารเพื่อรักษาสุขภาพ เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้ว คนที่จะปลื้มใจที่สุดก็คงไม่พ้นฉู่ป๋าย
อวี้อาเหราหันกลับไปมองเขา จึงได้เห็นสายตาอันอ่อนโยนของเขาดังที่คาด ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของนาง เขาจึงผินหน้าและส่งสายตามาที่ร่างของนาง นางไม่ว่าอะไร แต่กลับเบือนหน้าไปทางอื่นเสียอย่างนั้น
จวินอู๋เหินก้าวถอยหลังด้วยท่าทีตกใจเกินจริง “อะไรกัน หนึ่งร้องตำลึงเงินเชียวหรือ เจ้าช่างหน้าเลือดเสียยิ่งนัก!”
“ท่านจะให้หรือไม่ให้ หากไม่ให้ก็อย่าหวังว่าข้าจะบอกเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่นี้ให้รู้เลย” ฉู่เกอชื่นชอบท่าทีเกินจริงของเขา ยังกล่าวอย่างภาคภูมิใจขึ้นมาอีกว่า “แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นจะบอกท่าน นอกจากท่านจะจ่ายเงินตามที่ข้าบอก”
“เจ้านี่ช่าง…” จวินอู๋เหินโกรธจนนึกเคืองขึ้นมา แล้วพลันตีหน้าน่าสงสารหันไปทางอวี้อาเหรา “อาเหราคนดี เจ้าบอกข้ามาเถิด นางตระหนี่ถี่เหนียวก็ปล่อยนางไป เจ้ากับข้าสนิทกันถึงเพียงนี้ คงจะไม่ปิดบังข้าหรอกใช่หรือไม่”
“ข้าก็สนิทกับเจ้ามากจริงๆ ”อวี้อาเหราพยักหน้าคล้อยตาม ยามที่เห็นใบหน้าของเขาฉายแววความยินดี ก็พลันพลิกลิ้นพูดเป็นอื่น “แต่เหตุใดข้าถึงยังจำเรื่องที่เจ้าพาข้ามาทานอาหารที่นี่แต่กลับหนีไปไม่ยอมจ่ายเงิน ทำให้ข้ากลายเป็นเหมือนพวกที่ชอบกินแล้วชักดาบ เจ้าบอกข้ามาสิว่าข้าควรไปคิดบัญชีนี้ที่ใครดี? เจ้าติดค้างอาหารข้าหนึ่งมื้อยังไม่สำนึก แล้วข้าจะยอมสนิทสนมกับเจ้าได้อย่างนั้นหรือ”
“สาวน้อย เรื่องนั้นเป็นข้าที่ผิดเอง ครั้งหน้าข้าจะชดใช้ให้เจ้า!” จวินอู๋เหินทำทีท่ารับประกันขึ้นมาในทันที
อวี้อาเหราไม่ยอมตกหลุมพรางในครั้งนี้ของเขาอีกแล้ว นางนิ่วหน้าแล้วส่ายศีรษะ “เจ้าหลีกไปเสีย ให้ข้าเชื่อผีพูดเสียยังดีกว่าเชื่อคำโกหกของเจ้า พูดจาก็เหมือนผายลม เอาแต่พูดพล่ามไปทั่ว ชั่วพริบตาก็พลิกลิ้นกลับคำเสียแล้ว หากอยากรู้ว่าเมื่อครู่พวกเราคุยเรื่องอะไรกัน เจ้าก็จ่ายมาหนึ่งร้อยตำลึงเงินเป็นค่าเปิดปากเถิด”
หลังจากที่โดนปฏิเสธตรงๆ เช่นนี้ จวินอู๋เหินก็มองไปยังพวกเขาทุกคน “จะไม่บอกจริงๆ หรือ”
“ไม่บอก” ทุกคนส่ายหน้า
จวินอู๋เหินถอนหายใจออกมาในทันที ดึงตั๋วเงินร้อยตำลึงเงินออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ฉู่เกอ “ก็ได้ เจ้าบอกมาสิ แม้ว่าข้าจะไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แต่ข้ามีเงิน!”