ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 337-338
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 337 ไม่ให้เงิน / ตอนที่ 338 เรื่องสำคัญ
ตอนที่ 337 ไม่ให้เงิน
ไม่กลัวก็ลงมือได้เลยหรือ? หากเขากล้าที่จะลงมือสังหารอวี้อาเหราจริงๆ ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้นแน่นอนว่าทุกคนล้วนรู้ถึงมันดี หากตานเวยสังหารธิดารักของหลิงอ๋องจริงๆ แล้ว เขาจะยังนั่งนิ่งดูดายได้อยู่หรือ? ไม่ใช่เพียงชีวิตเขาชีวิตเดียวเท่านั้น แต่แม้แต่ทุกคนในจวนราชเลขาก็พลอยคงโดนหางเลขไปด้วย ฮ่องเต้เองก็คงจะต้องยินยอมไม่อิดออดแน่
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นี่ก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ!
“ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้ง หากมีครั้งหน้าก็ไม่แน่”
ตานเวยจ้องมองอวี้อาเหราอย่างลังเลอยู่สักครู่ ก่อนที่จะถอนสายตากลับไปเช่นเดิม เมื่อเห็นท่าทีเป็นกังวลของอวิ๋นเซิ่นแล้ว เขาก็วางมือลงในที่สุด ยอมเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วเดินออกไปข้างนอก เสื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม เห็นได้ชัดว่าฝีเท้าของเขานั้นช่างรีบร้อนและสับสน
อวี้อาเหราพลันขาอ่อนขึ้นมาในทันที ร่างทั้งร่างของนางทรุดลงไปกับเก้าอี้
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปลายกระบี่เมื่อครู่จ่อมาที่หน้าอกของนาง อีกเพียงนิดเดียวก็จะแทงทะลุเนื้อนางเสียแล้ว ในสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ หากจะบอกว่าไม่กลัวเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ในยามนี้ นางก็ไม่อาจเผยให้เห็นถึงความรู้สึกขลาดกลัวของตัวเองออกไปได้
ที่ด้านข้างมีเพียงมือที่ยื่นถ้วยน้ำชาเข้ามาให้ นางหันกลับไปมองอย่างอึ้งๆ นิ่งอยู่เป็นครู่จึงค่อยรับเอามา พยักหน้าให้ฉู่ป๋ายเล็กน้อย “ขอบคุณมาก”
ฉู่ป๋ายไม่ว่าอะไร เพียงแต่ถอนมือกลับไปอย่างนิ่งเงียบ
เมื่อน้ำชาร้อนๆ ไหลลงคอ อวี้อาเหราก็รู้สึกดีขึ้นมาก
อวิ๋นเซิ่นยืนอยู่ที่มุมสุดของสายตา จ้องมองแผ่นหลังที่หายไปของตานเวยด้วยความสับสน แล้วจึงเอ่ยขอโทษต่ออวี้อาเหรา “ต้องขออภัยคุณหนูรอง ญาติผู้น้องของข้านั้นมักจะมุทะลุเช่นนี้อยู่เสมอ เขาคงจะเข้าใจอะไรเจ้าผิดไปบางอย่างถึงได้ทำเช่นนี้ อย่าได้ใส่ใจเลยนะ”
นางเกือบจะตายอยู่แล้ว จะไม่ให้ใส่ใจได้อย่างไรกัน
สายตาของอวี้เหราเต็มไปด้วยความเย็นชาสุดประมาณ
อวิ๋นเซิ่นเห็นว่าสีหน้าของนางดูไม่ดีนัก เช่นนั้นจึงไม่อยากจะรบกวนอะไรอีก ได้แต่เดินตามหลังตานเวยออกไป
อาหารมื้อนี้จึงได้จบลงด้วยความไม่อภิรมย์ บรรยากาศที่เคยมีกลับถูกทำลายลงจนน่าสับสน
ฉู่เกอมองไปทางอวี้อาเหรา “คุณหนูรอง ท่านไม่เป็นอะไรแน่นะ?”
“ไม่เป็นอะไร” อวี้อาเหราส่ายหน้า
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ทานกันต่อเถิด” ฉู่เกอเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ไม่แล้วล่ะ ข้าอิ่มแล้ว ขอบคุณท่านหญิงน้อยมากที่เลี้ยงอาหารข้าในคืนนี้ ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน” อวี้อาเหราเอ่ยวาจาปฏิเสธ ก่อนจะลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เมื่อครู่นางก็เกือบจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีอารมณ์ทานอาหารได้อีกเล่า
เมื่อเห็นว่านางต้องการจะจากไป ครั้งนี้ฉู่เกอก็ไม่อาจจะรั้งนางเอาไว้ได้อีก
ฉู่ป๋ายลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ “ข้าจะไปส่งคุณหนูรองก็แล้วกัน”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะกลับไปพร้อมท่านด้วย” ฉู่เกอลุกขึ้นยืนตาม
บนโต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงจวินอู๋เหิน ฟู่เส่าชิงและเริ่นหว่านเอ๋อร์สามคน เมื่อเห็นว่าทุกคนแทบจะกลับไปกันหมดแล้ว แต่จวินอู๋เหินก็ยังคงกัดน่องไก่ในมือต่อไป ทั้งๆ ที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นแท้ๆ แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาทานอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย นี่ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“หากพวกเจ้าจะกลับไปก็รีบกลับไปเถิด เราจะอยู่กินต่อ”
ฟู่เส่าชิงมองเขาอย่างนึกขัน “เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ กินเถิด ข้ากลับก่อนแล้วกัน” เมื่อกล่าวจบแล้วก็หันไปทางเริ่นหว่านเอ๋อร์ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ต้องไปส่งเจ้าหรือไม่”
“ไม่ต้อง!” เริ่นหว่านเอ๋อร์ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินออกไปนอกประตู
จวินอู๋เหินเห็นฟู่เส่าชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เช่นนั้นก็กล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนนี่ก็ช่างแปลกนัก”
ฟู่เส่าชิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายแล้วเดินจากไป
เสี่ยวเอ้อร์จึงเดินเข้ามาคิดเงิน
“ท่านอ๋องน้อย ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง จะให้ข้าน้อยเก็บเงินเลยหรือลงบัญชีไว้พ่ะย่ะค่ะ?”
“ท่านหญิงน้อยแห่งจวนเซิ่นอ๋องยังไม่ได้จ่ายเงินหรือ”
“ท่านหญิงรีบจากไป เช่นนั้นถึงได้ให้มาถามกับท่านอ๋องน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคนแซ่ฉู่!” จวินอู๋เหินแทบจะบีบถ้วยชาในมือจนแตกละเอียด
ตอนที่ 338 เรื่องสำคัญ
รถม้าของจวนเซิ่นอ๋องควบไปตามทางที่จวนหลิงอ๋องตั้งอยู่ สองพี่น้องฉู่ป๋ายและฉู่เกอมาส่งอวี้อาเหราและเมี่ยวอวี้กลับจวนก่อน จากนั้นก็จากไป
อวี้อาเหรายืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของจวนหลิงอ๋อง เหม่อมองไปทางที่รถม้าที่จากไปไกล ในใจนางก็รู้สึกกระวนกระวาย เดิมทีอาหารดีๆ หนึ่งมื้อต้องถูกตานเวยทำลายบรรยากาศไปเสีย และก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมไปทำอะไรเขาไว้กันแน่ ทำให้นางเกือบจะโดนสังหารเสียแล้ว หากเป็นคนธรรมดาที่เกลียดชังกันธรรมดาก็คงไม่ลงมือหนักถึงเพียงนี้
เมี่ยวอวี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น “คุณหนู ด้านนอกลมแรงนักเจ้าค่ะ พวกเราเข้าไปข้างในกันแล้วค่อยคุยกันเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม” อวี้อาเหราก้าวเท้าไปข้างหน้า วันนี้จวนหลิงอ๋องคึกคักกว่าเดิมมาก ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยโคมไฟสว่างไสว แต่ก็ไม่แปลกอะไรนักเพราะตอนนี้ใกล้จะถึงช่วงเวลาปีใหม่แล้ว แน่นอนว่าจะต้องตกแต่งให้สวยงาม บ่าวไพร่ต่างจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อย หลังจากที่อนุสี่ได้รับหน้าที่นี้ งานบ้านทุกอย่างก็ถูกจัดการไม่เลวเลยทีเดียว มิเสียแรงที่นางสนับสนุนให้ทำหน้าที่นี้
หลังจากถอนสายตากลับมาแล้ว นางถึงได้เอ่ยถามขึ้นพลางมองหน้าเมี่ยวอวี้ไปด้วย “ตอนที่อยู่ที่หอจุ้ยเซียนนั้นเจ้ามีอะไรจะพูดกับข้ามิใช่หรือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“เรียนคุณหนูเจ้าค่ะ ยามที่ชิงอวิ๋นมาส่งเจาเอ๋อร์นั้นก็ได้ยินคนในจวนกล่าวว่าเป็นเพราะท่านอ๋องทูลขอพระราชานุญาตจากฝ่าบาท เพราะฉะนั้นอีกไม่นานนายน้อยสามก็จะกลับมาจากค่ายทหารแห่งซีซานแล้วเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบ
“ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้วหรือ” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้น
ความคิดที่จะส่งอวี้จื้อไปสู่ค่ายใหญ่แห่งเขาซีซานนั้นไม่ใช่ความของหลิงอ๋องมาแต่แรก แต่เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ที่ตั้งพระทัยส่งเขาไปที่นั่นโดยเฉพาะ แต่ไหนแต่ไรมาจวนหลิงอ๋องเป็นตระกูลนักรบเสมอ ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก อีกด้านหนึ่งคงเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของฮ่องเต้เอง จวนหลิงอ๋องนั้นมีอำนาจไม่อาจโค่นล้มได้ สำหรับฮ่องเต้แล้วย่อมต้องรู้สึกสั่นคลอนเป็นธรรมดา ตอนนี้อวี้จื้ออยู่ในการควบคุมของเขา แน่นอนว่าก็ไม่ต้องกลัวว่าหลิงอ๋องจะทำเรื่องใดที่ไม่ควรกระทำ
และเพราะจวนหลิงอ๋องมีทายาทที่เป็นบุรุษเพียงคนเดียว เช่นนั้นจะทำอะไรก็จำต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
อวี้อาเหราไม่อาจยินดีกับข่าวที่เพิ่งได้ยิน ไม่คิดว่าเขาจะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ ในเมื่ออนุรองและลูกสาวของนางยังเป็นเช่นนั้น ลูกชายของนางก็คงไม่หนีจากกันมากนัก แม่เป็นอย่างไรลูกก็คงเป็นอย่างนั้น หากเป็นเช่นนี้สถานการณ์ของนางก็ก็คงเหมือนยืนอยู่บนหน้าผา แล้วจะให้นางดีใจได้อย่างไร?
เมี่ยวอวี้มองดูสีหน้าของนาง “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เรื่องที่ท่านออกจากเมืองในครั้งนี้ จะไปพบท่านอ๋องเพื่อรับผิดหรือว่า…”
อวี้อาเหรายังไม่ทันที่จะตอบคำก็มีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาก่อน แล้วรีบรายงานอย่างเร่งร้อนว่า “ได้ยินว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ท่านอ๋องจึงส่งบ่าวมาเชิญคุณหนูไปยังโถงรับรอง ตรัสว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วยเจ้าค่ะ”
“เรื่องสำคัญ? เรื่องอะไรกัน” เมี่ยวอวี้ชะงัก
สาวใช้คนนั้นรีบส่ายหน้าระรัว “บ่าวก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ”
อวี้อาเหราส่งสายตาไปหานาง “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด แล้วเดินนำข้าไป”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้นั้นไม่กล่าวอะไรหากแต่ผุดกายลุกขึ้น แล้วนำทางอวี้อาเหราไปยังโถงหน้า
เมี่ยวอวี้มีท่าทีกระวนกระวาย พยายามกดเสียงให้ต่ำลง คิ้วขมวดเล็กน้อย “คุณหนู ที่ท่านอ๋องเชิญท่านไปพบครั้งนี้เป็นเพราะทรงพิโรธเรื่องที่ท่านแอบหนีออกไปนอกเมืองหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่รู้สิ” ท่าทีของอวี้อาเหรานั้นยากที่จะคาดเดาได้ หนังตาของนางกระตุก รู้สึกได้ว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีนักเกิดขึ้น “หากเสด็จพ่อจะทรงพิโรธจริงก็คงทำไปเสียนานแล้ว คงไม่ให้เจ้าตามไปอารักขาข้าหรอก หรือหากพิโรธจริงข้าก็ไม่กลัว ข้าเพียงเกลี้ยกล่อมนิดหน่อยก็หาย แต่กลัวว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ต่างหาก”