ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 389-390
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 389 เรียกอีกครั้งสิ / ตอนที่ 390 ไล่ออกจากจวน
ตอนที่ 389 เรียกอีกครั้งสิ
“อืม” ฉู่ป๋ายยอมรับออกมา
อวี้อาเหรายิ่งบังเกิดความเบื่อหน่าย “ก็ข้าเรียกแล้วไง เจ้าปล่อยข้าเสียที”
“แต่ข้าได้ยินไม่ชัดนี่ เจ้าเรียกอีกครั้งไม่ได้หรือ” ฉู่ป๋ายหัวเราะขึ้นมาเรื่อยๆ
ได้ยินไม่ชัดหรือ อวี้อาเหราอยากจะหัวเราะ เจ้าผีตัวนี้คิดจะหลอกใครกัน เมื่อครู่นี้ยังได้ยินเขาตอบกลับมา หากได้ยินไม่ชัด ไหนเลยจะตอบรับออกมาได้ มันจะไม่แกล้งโง่อย่างโจ่งแจ้งเกินไปหรืออย่างไร
นางเงียบไป ฉู่ป๋ายก็หัวเราะ “จะเรียกหรือไม่เรียก”
“ไม่เรียก” อวี้อาเหราส่ายหน้าปฏิเสธ นางยังไม่โง่ถึงขนาดจะเรียกเขาอีกครั้งหรอก เพียงได้ยินนางก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง หากเมี่ยวอวี้เข้ามาเห็นเข้า แม้นางจะโดดลงแม่น้ำฮวงโหวก็ล้างคาวไม่ออก[1]แน่ ในสายตาของนาง เจ้าหมอนี้ตั้งใจให้นางเรียกเขาเช่นนี้แน่ๆ
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ปล่อย” มุมปากที่โค้งเป็นรอยยิ้มของฉู่ป๋ายค่อยๆ หายไป ก้มหน้าลงมองสำรวจนาง
“ทำไมเจ้าช่าง…” เขาไม่แยแสอะไรทั้งนั้น อวี้อาเหราโกรธจนไม่รู้จะโกรธอะไร ในใจเกิดคิดอะไรขึ้นมา ทันใดนั้นนางก็จับศีรษะของตัวเองแล้วร้องออกมา “ปวดหัวเหลือเกิน ลมนี่ทำไมมันหนาวขนาดนี้ ข้าหนาวไปหมดแล้ว”
ฉู่ป๋ายชะงัก ทันใดนั้นก็ปล่อยมือทันที “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
อวี้อาเหราใช้โอกาสนี้พุ่งออกมาจากอ้อมแขนของเขา เมื่อหนีออกมาได้ ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพออกพอใจ
ในเวลาเดียวกัน สายตาของนางก็ฉายแววดุดัน กล้าแกล้งนางเช่นนี้ เขาช่างใจร้ายยิ่งนัก
“เจ้าแสร้งทำหรือ” ฉู่ป๋ายเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของนางแล้วก็เข้าใจขึ้นมา
“เขาเรียกเป็นทหารไม่หน่ายอุบาย” อวี้อาเหราว่าเสียงเย็น
ฉู่ป๋ายทำหน้ากินไม่เข้าคายไม่ออก “ข้าเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีใจ ไม่เห็นว่าจะป่วยหนักตรงไหนเลย เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าจะไปบอกหลิงอ๋องแทนเจ้าเอง บอกว่าอาการป่วยของเจ้านั้นหายดีแล้ว ท่านคงคลายวิตกแล้วกระมัง”
“ใครบอกว่าข้าหายดีแล้ว” อวี้อาเหราใจแป้ว กุมศีรษะแล้วแสร้งป่วย “ตอนนี้ข้าเวียนหัวขึ้นมาอีกแล้ว คงเพราะเจ้าเสียงดังแน่ๆ จนทำให้ข้าไข้กลับเช่นนี้ กลัวว่าจะป่วยหนักจนวิกฤตน่ะสิ”
“เจ้าพาลมาถึงตัวข้าแล้ว…” ฉู่ป่ายยกมือที่กำเป็นหมัดหลวมๆ มาปิดปากแล้วไอออกมา
อวี้อาเหราโต้ว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ทำให้ข้าไม่มีความสุข ยังทำให้ข้าเสียสุขภาพไปอีก”
“ไม่เป็นไร แล้วแต่เจ้าเถิด ฝีมือการแพทย์ของเรานั้นมีชื่อเสียงลือเลื่องไปทั่วเมืองเฟิ่งเฉิง แม้ว่าเจ้าใกล้จะตาย ข้าก็ยังช่วยกลับมาได้ เหมือนกับที่ข้าช่วยฝังเข็มให้เจ้าสิบเข็มอย่างไรเล่า” ฉู่ป๋ายไม่ได้มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย แต่พูดออกมายาวๆ
“เจ้านี่จริงๆ เลย จะไม่ทำให้คนอื่นอับจนถ้อยคำจะอกแตกตายหรือย่างไร” อวี้อาเหราไม่รู้จะพูดอะไร นางไม่อยากจะถูกฝังเข็มอีกแล้ว เพราะมันเจ็บมากจริงๆ
เมื่อมองท้องฟ้าด้านนอก ก็เห็นว่ามืดครึ้มลงเยอะ จึงเลิกคิ้วแล้วมองไปที่เขา “เย็นถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ายังไม่คิดจะกลับอีกหรือ”
ฉู่ป๋ายมองไปด้านนอก แล้วจึงพยักหน้าคล้อยตาม “ควรจะกลับได้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบไปเถิด” อวี้อาเหราฝืนยิ้ม
ฉู่ป๋ายสงสัย “ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังไล่ข้าอยู่กันนะ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้ากลัวว่าฟ้าจะมืด แล้วเจ้าจะกลับไม่สะดวกต่างหาก ถนนตอนกลางคืนจะลื่นนัก” อวี้อาเหราฝืนยิ้มออกมา หากเขาไม่ใช่ซื่อจื่อแห่งจวนเซิ่นอ๋อง นางคงไม่เปลืองน้ำลายกับเขาถึงเพียงนี้หรอก คงจะโดนไล่ออกไปตั้งแต่เข้ามาในจวนแล้ว
สองตาของฉู่ป๋ายจ้องมองนาง ดูราวกับมองทะลุถึงเจตนาของนาง แต่ก็เหมือนมองไม่ออก ในที่สุดก็ถอนสายตากลับมา น้ำเสียงอบอุ่นพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถิด ข้าขอกลับก่อน”
พูดออกไปไม่นาน ก็หมุนตัวจากไป
อวี้อาเหรามองแผ่นหลังผอมบางทว่าตรงแน่วของเขา สีหน้าของนางก็หม่นลง “เมี่ยวอวี้”
[1] แม้โดดลงแม่น้ำฮวงโหวก็ล้างคาวไม่ออก อุปมาหมายถึงไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจล้างมลทินให้ตัวเองได้
ตอนที่ 390 ไล่ออกจากจวน
เมี่ยวอวี้เข้ามาในห้อง “มีอะไรหรือเจ้าคะคุณหนู”
“เมื่อครู่นี้เจ้าลงโทษเด็กสาวผู้นั้นอย่างไร” อวี้อาเหราจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงเพราะถูกฉู่ป๋ายเล่น แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองเมี่ยวอวี้
“บ่าว..” เมี่ยวอวี้มองนางด้วยสายตาระมัดระวัง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “บ่าวไล่นางออกจากจวนไปแล้วเจ้าค่ะ”
“บังอาจ!” เมื่อได้ยินดังนั้น อวี้อาเหราก็ร้องขึ้นมาอย่างดุๆ “นางไร้มารยาทต่อเซิ่นซื่อจื่อถึงเพียงนี้ ทำไมเจ้าจึงกล้าปล่อยนางไปโดยพลการ เจ้ากำลังทำเสียเรื่อง”
“คุณหนูโปรดอย่างโกรธ บ่าวรู้ผิดแล้ว” เมี่ยวอวี้ทรุดตัวลง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “บ่าวคิดว่าเพราะคุณหนูเป็นคนจิตใจดี อย่างไรก็คงไม่เอาชีวิตองครักษ์หญิงให้ตายเปล่าแน่ ดังนั้นบ่าวจึงบังอาจ ไล่นางออกไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้านี่ช่างกล้านัก ริคิดแทนข้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะปล่อยตัวนาง” น้ำเสียงของอวี้อาเหรายิ่งดุดันมากยิ่งขึ้น
“บ่าวขอบังอาจพูดสักคำ คุณหนูรอง หากท่านจะฆ่าองครักษ์หญิงผู้นั้นจริงๆ ก็คงไม่ให้บ่าวลงมือจัดการเสียตั้งแต่แรก และยิ่งคงจะไม่ถามเซิ่นซื่อจื่อให้ช่วยตัดสินใจ ดังนั้นบ่าวจึงเดาเอาเองว่า ท่านเพียงต้องการที่จะทราบว่าเซิ่นซื่อจื่อจะมีท่าทีต่อองครักษ์หญิงผู้นั้นอย่างไรเท่านั้น…”
อวี้อาเหรามองนางนิ่งๆ ชั่ววินาทีนั้นไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์โกรธเคืองหรือยินดีกันแน่
เมี่ยวอวี้คุกเข่าลงด้วยตัวสั่นเทา แล้วก้มหน้าลงติดกับพื้น
ทันใดนั้นอวี้อาเหราก็หัวเราะออกมา ลุกขึ้นยืน แล้วพยุงนางขึ้นมาด้วยตัวเอง มุมปากคลี่เป็นรอยยิ้มบาง “เจ้าทำได้ถูกต้อง เดาใจของข้าได้อย่างละเอียดลออ มีคนฉลาดเฉลียวเช่นเจ้าอยู่ข้างกายคอยช่วยเหลือเช่นนี้ถือเป็นโชคของข้า รีบลุกขึ้นเถิด”
“คุณหนูไม่โกรธข้าแล้วหรือ” เมี่ยวอวี้ชะงัก
อวี้อาเหรากะพริบตา “หากข้าจะโทษเจ้าจริงๆ ไหนเลยข้าจะพูดให้มากความถึงเพียงนี้”
“ก็จริงเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ชะงักแล้วก้มหน้าลง แม้ว่าจะอยู่กับอวี้อาเหราได้สิบกว่าวันเท่านั้น แต่ก็สามารถเดาใจของนางได้มากทีเดียว หากจะลงโทษจริงๆ ก็คงไม่พูดอะไรให้มากความเช่นนี้
อวี้อาเหราถอนสายตากลับมา “เจ้าเองก็รู้ แม้ว่าเจาเอ๋อร์จะหัวไวคล่องแคล่ว แต่ก็ไม่ได้ฉลาดเฉลียวเช่นเจ้า จะจัดการเรื่องในเรือนพักนี้ จำจะต้องหูตากว้างไกล ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้เจ้าลงโทษเด็กคนนั้นอย่างไรหรือ”
“เรียนคุณหนู หลังจากบ่าวขู่นางแล้ว ก็บอกว่าคุณหนูรองเห็นว่านางน่าสงสาร ไม่อาจฆ่านางได้ลง จึงขอให้เซิ่นซื่อจื่อให้อภัย ในท่านเห็นใจ ดังนั้นจึงละเว้นโทษ ส่งนางออกนอกจวนไปแล้วมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง นางจึงจากไปพร้อมพร่ำขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“ดีมาก” อวี้อาเหราพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เมื่อทำเช่นนี้ก็จะไม่เกิดการผูกใจเจ็บ ทั้งยังได้ใส่ร้ายฉู่ป๋ายอีกต่างหาก เมื่อคิดได้ดังนี้ นางก็ยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจ
เรื่องนี้ได้เมี่ยวอวี้ช่วยจัดการให้จนไม่หลงเหลือความแค้นใดๆ หากเป็นเจาเอ๋อร์ ก็คงไม่อาจทำให้เรื่องมาจนถึงจุดนี้ได้แน่ จากเรื่องนี้สามารถมองเห็นได้ถึงความฉลาดและความละเอียดอ่อนของเมี่ยวอวี้ที่สามารถเข้าใจความคิดของนางได้อย่างถูกต้องไม่บกพร่อง
“ขอบพระคุณคุณหนูที่ชื่นชม นี่เป็นเรื่องที่บ่าวควรจะทำแล้วเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ก้มหน้า
“เจ้าสมควรได้รับคำชมจากข้าแล้ว” อวี้อาเหราเผยรอยยิ้ม คิดอะไรขึ้นมาได้ก็เอ่ยถาม “ใช่แล้ว พวกชิงอวิ๋นไปไหนหรือ ทำไมข้าไม่เห็นพวกเขาเลย”
“บอกว่าจะไปตามสืบเรื่องที่คุณหนูสั่งเอาไว้เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบ
อวี้อาเหราเท้าคางพลางขบคิด หรือว่า…หรือว่ากำลังไปสืบเรื่องของอนุรองกันนะ