ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 427-428
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 427 สวยจนแทบจะกลืนกิน / ตอนที่ 428 ข้าสอนเจ้าเอง
ตอนที่ 427 สวยจนแทบจะกลืนกิน
“จุ๊ๆ พอแล้ว ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ข้ายิ่งขนลุกไปหมด” ฉู่เกอทำทีเป็นลูบเนื้อลูบตัว ใบหน้ายิ่งแสดงให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายต่อจวินอู๋เหิน มีแต่เขาเท่านั้นที่พูดจาเช่นนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอย่างไรก็ไม่อาจพูดได้เช่นนี้
จวินอู๋เหินหยุดพูดอย่างรู้งาน “เป็นเจ้าเองนะที่ไม่ยอมให้ข้าพูดต่อ”
“ใช่ เป็นข้าเอง” ฉู่เกอพยักหน้าหนักๆ ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้เขายกยออะไรอีก กลัวว่าหากยังไม่ร่อนว่าวฟ้าคงมืดเสียก่อน
คนอื่นมักมองว่าจวินอู๋เหินในยามปกติมักจะโหดร้ายทารุณ แต่ยามพูดจานั้นเป็นลำดับขั้นตอน แม้แต่ฉู่ป๋ายยังเลียนแบบการพูดจาเช่นนี้ไม่ได้ ที่อย่างมากก็สามารถพูดจนอีกฝ่ายเงียบไป แต่กับเขานั้นมิใช่เช่นนั้น กลับพูดจาคนทำให้คนฟังอยากจะสำรอกมากกว่า
คนพูดว่าสวยจนอยากจะกลืนกิน แต่เขากลับพูดว่ายอมที่จะตาบอดยังจะดีเสียกว่า!
จวินอู๋เหินหัวเราะไม่พูดไม่จา ก้มหน้าลงมองว่าวในมือ “ขี้เหร่จริงๆ”
สีหน้าของฉู่เกอเปลี่ยนไปในทันที แต่คิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาที่ทำให้นางรู้สึกขนลุก จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
คนที่รับมือยากที่สุดในโลกนี้คือใครน่ะหรือ? ก็คนหน้าไม่อายที่ชอบพูดโกหกน่ะซี!
ทุกคนถือว่าวเอาไว้ในมือ แล้วค่อยๆ ผ่อนสายป่านว่าวให้ยาวขึ้น
เมื่อมีลมเข้ามาปะทะ ว่าวจึงค่อยๆ ลอยขึ้นสูง จนแทบจะชนเข้ากับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แม้จะบอกว่าว่าวพวกนี้ไม่สวยงาม แต่กลับลอยลมได้เป็นอย่างดี หากเป็นว่าวแบบอื่นคงจะร่วงลงพื้นได้ง่ายๆ
อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองว่าวของตัวเองที่ลอยขึ้นสูง มีเชือกเส้นหนึ่งคอยรั้งเอาไว้ให้อยู่นิ่งๆ อดไม่ได้ที่จะคิดถึงสถานะของตัวเอง ช่างเหมือนกับสายป่านของว่าวเหล่านี้ไม่มีผิด บางครั้งก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะทำให้สายป่านขาด ขาดแล้วจะทำอย่างไรได้? ก็คงจะต้องหล่นลงบนดินโคลนหรือไม่ก็สถานที่ทุรกันดาร หากโชคดีก็คงจะมีคนเก็บไปได้
ไม่เพียงแต่จะต้องพบกับสถานการณ์ที่เสียงอันตราย ทว่าจะต้องพึ่งพาโชคชะตาด้วย
สายป่านถูกพันม้วนอยู่ในมือของนาง แต่สายป่านที่จะผูกมัดนางเอาไว้อยู่ที่ใดกัน อยู่ที่หนิงจื่อเย่หรือ หรือว่าอยู่ที่หลิงอ๋อง หรือว่าอยู่ที่ฮ่องเต้และไทเฮากัน?
หรือว่า ล้วนอยู่ในมือของคนทั้งหมด?
สายป่านเส้นนี้คงจะไม่สามารถปรากฏอยู่ในมือของนางแบบเสียเปล่าแน่ นางจำต้องไปแย่งชิง เพื่อตัดสินเส้นสายป่านของตัวเอง เพื่อลอยไปยังทิศทางที่ตัวเองคิดเอาไว้ แต่จะต้องทุกข์ยากถึงเพียงใดกันเล่า? นอกจากจะถูกฟ้าผ่าฟ้าแลบ ในเวลาเดียวกันแล้ว ก็อาจจะต้องเสี่ยงที่จะถูกทำลายด้วย
แต่ว่า จะกลับตัวหรือจะไปต่อก็ยังยากทั้งนั้น
ในยามที่นางจมอยู่ในภวังค์ ว่าวในมือก็ค่อยๆ ร่อนต่ำลง
อวี้อาเหราพยายามที่จะให้ว่าวยืนหยัดคงอยู่ แต่ก็ไม่สามารถทำให้มันลอยขึ้นได้แล้ว ของคนอื่นนั้นยิ่งร่อนก็ยิ่งลอยขึ้นสูง แต่ของนางกลับยิ่งลอยคล้อยต่ำลง เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่าทักษะฝีมือนั้นสำคัญเพียงใด
จวินอู๋เหินมองว่าวในมือของนาง ก็หัวเราะแล้วเงยหน้าขึ้น “อาเหรา เจ้าเล่นว่าวหรือเลี้ยงนกยูงกันแน่ เหตุใดยิ่งลอยก็ยิ่งต่ำลงเล่า หรือเจ้าเล่นไม่เป็นหรือ”
“ใครบอกว่าข้าเล่นไม่เป็นกัน” อวี้อาเหรากลอกตา ดึงสายป่านในมืออีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไม่ว่านางจะฉุดหรือดึงมากเท่าไร ว่าวตัวนี้ก็ไม่ยอมลอยขึ้นสูงเสียที เมื่อดูลมแล้วก็เห็นว่ายังพาดพัดอยู่ หรือว่านางไม่มีฝีมือ?
นางไม่เคยเล่นว่าวมาก่อน เพราะฉะนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากนางยอมรับเสียงเยาะเย้ยของจวินอู๋เหินว่านางเล่นไม่เป็นจริงๆ นั่นก็เท่ากับนางเสียหน้ามิใช่หรือ? ต่อไปก็ไม่รู้ว่าเขาจะยกเอาเรื่องนี้มาหัวเราะเยาะนางตอนไหน
แต่เมื่อเห็นว่าวของคนอื่นๆ ก็ลอยได้ดี ทำไมถึงไม่เหมือนกับนาง เหตุใดว่าวของนางจึงไม่ลอยกันเล่า
ตอนที่ 428 ข้าสอนเจ้าเอง
ฉู่เกอเห็นนางมีท่าทีร้อนรน จึงถลึงตามองจวินอู๋เหินอย่างโกรธเคือง “พี่เหราเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอ แน่นอนว่าไม่อาจเทียบกับพวกเราที่ร่างกายแข็งแรงกว่าได้ ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่กลัวเลยหรือว่าว่าวของท่านจะต้องตกลงมา ดูท่านจะพออกพอใจนัก”
ทันทีที่นางพูดขึ้น ทันใดนั้นก็มีลมแรงพัดโบกเข้ามาอย่างประหลาด ว่าวของจวินอู๋เหินก็ร่วงลงในทันใด จนสุดท้ายก็ตกลงสู่พื้นดิน เหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อครู่เพิ่งจะจบไปเท่านั้น ไม่ทันไรว่าวก็ตกลงทันตาเห็นเสียแล้ว
ทว่านอกจากว่าวของเขาแล้ว ว่าวของคนอื่นก็ยังคงอยู่ดีไร้รอยขีดข่วน!
หรือว่าสวรรค์เห็นท่าทีพออกพอใจของเขาแล้วก็ไม่ชอบใจขึ้นมา?
ฉู่เกอและฟู่เส่าชิงนิ่งชะงักไปพร้อมๆ กัน จากนั้นก็กุมท้องแล้วหัวเราะขึ้นมาด้วยท่าทางเกินจริง
สีหน้าของจวินอู๋เหินเปลี่ยนไปเป็นสีดำคล้ำ ถลึงตาจ้องมองฉู่เกอ สายตาของเขาจ้องมองนางแน่นิ่งไม่ขยับไปไหน “ต้องโทษเจ้านั่นละ หากเจ้าพูดเช่นนี้คงไม่เกิดเรื่องขึ้น”
“ฮ่าๆ เป็นเพราะท่านเองแท้ๆ แต่กลับมาโทษข้าเสียได้ หากท่านไม่รู้จะโทษขี้หมูขี้หมาที่ไหนดี ก็โทษดินโทษหญ้าที่ไม่ยอมยื่นมือมาช่วยท่านก็แล้วกัน” ฉู่เกอตอกกลับ สิ่งที่ไม่ควรพูดก็พูดออกมาจนหมดเพราะตื่นเต้น เมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องชะงักแล้วลอบมองพี่ชายตัวเอง
ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์อยู่แล้ว ยิ่งดูไร้อารมณ์เข้าไปอีก…
จวินอู๋เหินเปลี่ยนจากโกรธกลายเป็นหัวเราะ “ดูซี เจ้าเป็นถึงกุลสตรีเหตุใดจึงพูดเช่นนี้ ไปอยู่ในค่ายทหารมา นึกอยากจะพูดอะไรก็ไม่สนใจหรือ ต่อไปจะมีผู้ชายที่ไหนอยากจะแต่งงานกับเจ้า”
“ก็ไม่ใช่ท่านก็แล้วกัน” ฉู่เกอว่าอย่างหยิ่งยโส
“เล่นว่าวกันเถิด” ในยามที่คนทั้งสองกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น ฉู่ป๋ายที่อยู่ข้างๆ กันนั้นก็เอ่ยขึ้น สายตามองไปยังร่างของฉู่เกออย่างมีความหมาย เพียงมองจากภายนอกก็คงไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ แต่นางกลับก้มหน้าลง ดูแล้วเมื่อครู่นี้เขาคงได้ยินเข้าเต็มๆ
ซวยแล้ว!
ซวยแล้ว!
คำสองคำนี้ดังขึ้นมาหัวของนาง ทันใดนั้นใจที่นึกอยากจะเล่นว่าวก็หายไปเสียหมด
ฉู่ป๋ายไม่สนใจนาง แต่มองไปทางอวี้อาเหรา กล่าวว่า “เจ้าทำแบบนี้ว่าวของเจ้าก็ไม่ลอยขึ้นหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นต้องทำอย่างไร” อวี้อาเหรามองไปที่เขาอย่างสงสัย
“เจ้ามานี่ ข้าจะสอนเจ้าเอง” ฉู่ป๋ายส่งสายตาแฝงความหมายมาให้
สอนนางหรือ? เขาใจดีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อวี้อาเหราลังเล คาดเดาไม่ออกว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ใด บทสนทนาของคนทั้งคู่เรียกสายตาของคนทั้งหมดให้หันมา เมื่อถูกมองด้วยสายตากระตือรือร้นเช่นนี้ นางก็ได้แต่ทำคอแข็งขึ้นมาเท่านั้น
นางยังไม่ลืม ยามที่จวินจื่อหร่านยังอยู่ที่นี่นั้น เขาเรียกนางว่าเหราเอ๋อร์
พวกเขาทั้งสองคนสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
อวี้อาเหราก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักใจ แล้วยื่นว่าวออกไปตรงหน้าเขา
ฉู่ป๋ายยิ้ม “เจ้าเอาว่าวมาให้ข้าทำไมกัน เจ้าจะเล่นเองหรือให้ข้าเล่น”
“ข้าเล่นเอง” อวี้อาเหราตอบเสียงแข็งๆ ลอบใช้หางตาประเมินค่าสีหน้าของเขา คิดว่าคนคนนี้ตั้งใจที่จะทำเช่นนี้ต่อหน้าทุกคนหรือไม่ ตั้งใจจะให้นางอาย แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีเจตนาอื่นใด
ฉู่เกอ จวินอู๋เหิน ฟู่เส่าชิงตลอดทั้งบรรดาสาวใช้และองครักษ์ต่างก็มองอยู่
อวี้อาเหราไม่กล้าขยับไปไหน นางไม่มีหน้าที่จะเข้าไปใกล้ชิดบุรุษเพศต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้ แล้วยิ่งคนผู้นั้นเป็นถึงเซิ่นซื่อจื่ออีกด้วย
ฉู่ป๋ายทำราวกับรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงกวาดตามองผู้คนที่อยู่รอบกายอย่างเย็นชา แล้วถามขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน “พวกเจ้ามองมาทางนี้ทำไมกัน”