ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 443-444
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 443 ยาที่ทำให้แกล้งป่วย / ตอนที่ 444 เรียกหมอหลวง
ตอนที่ 443 ยาที่ทำให้แกล้งป่วย
“องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นใคร หม่อมฉันเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของคุณหนูเท่านั้น เช่นนั้นจึงต้องรักษาความปลอดภัยของคุณหนูเพคะ”
“เจ้า!” จวินฉางอวิ๋นที่โดนสาวใช้ตอกกลับมาเช่นนี้ก็พูดไม่ออก
เมี่ยวอวี้ยืนขวางอยู่ข้างหน้า มีท่าทีไม่ยอมให้เขาจากไปไหนถ้าไม่ยอมปล่อยตัวนางก่อน
จวินฉางอวิ๋นเองก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงถลึงตาจ้องมองเมี่ยวอวี้
อวี้อาเหรามองเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกเยือกเย็น อย่างไรก็ไม่อาจทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตได้ และเรื่องที่จวินฉางอวิ๋นจะนำตัวนางไปพบไทเฮาซึ่งๆ หน้า อย่างไรเสียนางก็ไม่ยอม เมื่อเห็นทั้งสองกำลังต่อต้านกันเช่นนี้ นางก็ทำเพียงออกคำสั่ง “เมี่ยวอวี้ เจ้าถอยไป”
“คุณหนู?” เมี่ยวอวี้ชะงัก
อวี้อาเหราหันกลับไปมองจวินฉางอวิ๋น “องค์รัชทายาท หม่อมฉันไปกับพระองค์ก็ได้ แต่อย่าได้ทรงลากถูหม่อมฉันเลยได้หรือไม่”
“เช่นนั้นเจ้าตามเรามาดีๆ” เมื่อจวินฉางอวิ๋นพูดออกมาเช่นนี้ เขาก็ยอมปล่อยมือ
ดังนั้นอวี้อาเหราจึงฝืนใจเดินเข้าวังหลวงไป
เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ทำตัวไม่ถูก จึงรีบตามเข้าวังไป
เมื่อเข้ามาสู่ตำหนักรู่เฟิ่งแล้ว ไทเฮากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ด้านนอก และกำลังพูดคุยสนทนาด้วยกันกับจวินเสวียนจี จวินไหวซ่งและจวินไหวหรง
เมื่อเห็นอวี้อาเหราและจวินฉางอวิ๋นเดินเข้ามาพร้อมกัน คนเหล่านี้ก็เงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อมาถึงข้างกายของไทเฮาแล้ว จวินฉางอวิ๋นก็ได้ถวายความเคารพ คำนับไทเฮาด้วยความเคารพนบน้อม “หลานถวายบังคมเสด็จย่า ขอให้เสด็จย่าทรงเจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน”
“ลุกขึ้นเถิด” ไทเฮามองมาอย่างแปลกใจ “ให้เจ้าไปพบคุณหนูรองที่จวนหลิงอ๋องมิใช่หรือ? เหตุใดถึงกลับมาเร็วเพียงนี้ล่ะ แล้วยังนำตัวมาด้วย…”
เมื่อได้รับสายตาของไทเฮา อวี้อาเหราก็ถวายความเคารพ “ถวายบังคมไทเฮาเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด” ไทเฮาถามอย่างแปลกใจ “คุณหนูรอง เจ้ากำลังป่วยอยู่มิใช่หรือ หรือว่าหายดีแล้ว?”
ไม่ต้องรอให้อวี้อาเหราเอ่ยปาก น้ำเสียงเย็นชาของจวินฉางอวิ๋นก็ตอบขึ้นมาแทน “เสด็จย่า วันนี้หลานเข้าวังมาเพราะมีเหตุที่จะกราบทูล วันนี้หลานได้รับพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่าไปยังจวนหลิงอ๋อง แต่สุดท้ายหลานก็พบว่า ที่แท้แล้วอวี้อาเหราไม่ได้ป่วย นางเพียงแกล้งป่วยทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“แกล้งป่วยหรือ?” ไม่เพียงแต่ไทเฮาที่ตกใจจนต้องออกปาก แม้แต่องค์หญิงทั้งสามที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจเช่นกัน
“พ่ะย่ะค่ะ” จวินฉางอวิ๋นพยักหน้าอย่างแข็งขัน
สีหน้ายิ้มแย้มของไทเฮาค่อยๆ หุบลง หันกลับไปมองอวี้อาเหราด้วยสายตาสงสัย จากนั้นก็หันไปหัวเราะกับจวินฉางอวิ๋น “ฉางอวิ๋น เจ้าอย่าได้แกล้งย่าเลย ก่อนหน้านี้เพิ่งจะส่งหมอหลวงไปตรวจอาการคุณหนูรอง เขาก็รับรองว่านางป่วยจริงๆ มิใช่หรือ”
“ก็เป็นเพราะว่านางแสร้งป่วย” จวินฉางอวิ๋นส่ายหน้า “เมื่อครู่นี้หลานไปถึงจวนหลิงอ๋อง ได้ยินนางกำลังคุยกับสาวใช้คนสนิททั้งสอง ดังนั้นจึงรู้ถึงความจริงเรื่องแสร้งป่วย เสด็จย่าต้องเชื่อหลานนะพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นลองทอดเนตรสีหน้าของนาง ไหนเลยจะเหมือนคนป่วยกัน?”
ไทเฮามองไปยังร่างของอวี้อาเหราอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สีหน้าของนางดูไม่เลว ไม่มีท่าทีของคนป่วยหนัก แต่ในใจก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
จวินฉางอวิ๋นพูดขึ้นมาอีกว่า “หลานเคยได้ยินมาว่าในโลกนี้มียาที่สามารถทำให้แกล้งป่วยได้ เมื่อครู่นี้หลานได้เห็นองครักษ์ส่วนตัวของเซิ่นซื่อจื่อกำลังส่งยามาให้พอดี นางไม่พูดอะไรแต่กลืนลงไปในทันที ดังนั้นหลานจึงคิดว่ายาที่นางกลืนลงไปนั้นอาจจะเป็นชาที่มีฤทธิ์ทำให้มีอาการเหมือนป่วยก็ได้…”
“โลกนี้มียาที่ทำให้แกล้งป่วยด้วยหรือ” ไทเฮาตกใจยิ่งนัก
“พ่ะย่ะค่ะ หากเสด็จย่ามิทรงเชื่อ ก็ลองเชิญเซิ่นซื่อจื่อให้เข้าวังมาเพื่อสอบถามเถิด หากกินเข้าไปแล้วทำให้แกล้งป่วยได้ นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสด็จย่าเป็นถึงไทเฮาของต้าเยี่ยน หากให้ผู้ใดมาหลอกลวงเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะเอาพระพักตร์ไปไว้ที่ไหน”
ตอนที่ 444 เรียกหมอหลวง
ทุกคำพูดของจวินฉางอวิ๋นล้วนเข้าไปในพระทัยของไทเฮา
ทำให้ไทเฮาเกิดความรู้สึกลังเลไม่แน่ใจ อาการป่วยของอวี้อาเหราก็ดูกะทันกันเกินไปจริงๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการแกล้งป่วย เช่นนั้นจึงทำได้เพียงจ้องมองนาง จากนั้นก็มองไปทางจวินเสวียนจี “พวกเจ้าว่าอย่างไร”
“เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เสวียนจีไม่กล้าตัดสินใจเพคะ” จวินเสวียนจีบอกปัดอย่างชาญฉลาด จากนั้นค่อยกล่าวขึ้นว่า “แต่เมื่อครู่นี้รัชทายาททรงนำเรื่องนี้มาเปิดเผยในที่สาธารณะ หากเหล่าขันทีและนางกำนัลเอาไปพูดคงไม่ส่งผลดีต่อผู้ใด หากเสด็จย่าทรงกังวลว่าเรื่องนี้จะลามเป็นไฟลามทุ่ง เช่นนั้นก็ควรให้หมอหลวงมาตรวจอาการของคุณหนูรองเสีย ดูว่ามียาที่ช่วยทำให้แกล้งป่วยได้จริงหรือไม่”
“พี่เสวียนจีกล่าวได้ถูกต้อง” จวินไหวซ่งเออออตาม
จวินไหวหรงมีท่าทีลังเลอยู่บ้าง “หลานไม่เข้าใจอยู่บ้าง ขอเสด็จย่าและพี่เสวียนจีทรงตัดสินใจเถิดเพคะ”
“คุณหนูรองหลิง เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร” ไทเฮาพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองอวี้อาเหราอีกครั้ง และถามขึ้นมาถึงความในใจของนาง
อวี้อาเหราก้มหน้าลงคิดวิเคราะห์อยู่นาน ใบหน้าของนางก้มต่ำ เผยให้เห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียวที่ต้องแสงตะวัน แต่เดิมนางก็งดงามมากอยู่แล้ว ทว่าเมื่อถูกแสงตะวันอ่อนโยนสาดส่อง ก็ยิ่งส่องประกายงดงามเป็นอย่างมาก
ในยามนี้ อย่างไรนางก็ไม่มีทางยอมรับแน่ว่าตัวเองนั้นแกล้งป่วย
ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากกับไทเฮา “ไทเฮา เมื่อครู่นี้องค์รัชทายาทตรัสว่าหม่อมฉันแกล้งป่วย แต่กลับไม่มีหลักฐานเลยแม้แต่น้อย หม่อมฉันต้องทนการใส่ร้ายป้ายสีถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ไม่ยอมให้หมอหลวงมาตรวจอาการ แต่ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อว่าหม่อมฉันป่วยจริง ก็เรียกมาเถิดเพคะ มิเช่นนั้นก็คงจะถูกนินทาว่าแกล้งป่วยเพื่อหลอกลวงไทเฮา ทำให้เกิดคำติฉินได้”
“ได้ เช่นนั้นเรียกหมอหลวงมา” ไทเฮาออกคำสั่งให้ไปเชิญมา
อวี้อาเหราก้มหน้าไม่พูดไม่จา แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจะถูกตรวจพบเรื่องยาใจพุดตานเจ็ดห้องหรือไม่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางจะยอมถอยไม่ได้ มิเช่นนั้นจวินฉางอวิ๋นจะจับได้ เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรอหมอหลวง แต่ในใจกลับนิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในฝีมือการแพทย์ของหมอหลวง แต่นางเชื่อในยาใจพุดตานเจ็ดห้อง
ยาที่จะสามารถตรวจสอบได้ แน่นอนว่าเขาคงไม่นำมาให้นาง
จวินฉางอวิ๋นเห็นท่าทีนิ่งเฉยของนาง ในใจก็ค่อยๆ ดำดิ่งลงเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าอวี้อาเหรามีความคิดอะไรอยู่เช่นกัน จนทำให้เขาคาดเดาไม่ออกถึงความคิดของนาง หรือว่านางจัดการได้? เขาไม่เชื่อ ว่าหมอหลวงผู้มีฝีมือสูงส่งของวังหลวงจะตรวจสอบไม่ได้!
หลังจากที่หมอหลวงมาถึงแล้ว อวี้อาเหราก็นั่งอยู่ในตำหนัก แล้วยื่นมือออกไปท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมา
หมอหลวงที่ถูกเชิญมานั้นเป็นหมอหลวงที่มีฝีมือดีที่สุดในวังหลวง มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว แน่นอนว่าคงจะไม่ถูกเชิญมาตรวจอาการง่ายๆ ซึ่งทำให้รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ จึงได้ถูกไทเฮาเชิญมาตรวจอาการ แน่นอนว่าไม่อาจมองข้ามฝีมือของเขา
เมื่อถึงเวลา ในใจของอวี้อาเหราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเป็นกังวล หากจะให้หมอหลวงตรวจอาการจริงๆ นางคงต้องตายแน่ๆ
หมอหลวงตรวจอาการอยู่นาน ก็ยังไม่เอ่ยปากกล่าววาจา
จวินไหวซ่งอดรนทนไม่ได้ เมื่อกำลังจะเอ่ยปากถาม แต่กลับถูกไทเฮายื่นมือออกมาห้ามด้วยความไม่พอใจ ทันใดนั้นนางก็ตกใจจนกลืนคำพูดทุกอย่างลงท้องไปหมด
คนอื่นๆ คงถือว่าอยู่ในอาการสงบ จึงไม่ได้พูดจา เฝ้ามองหมอหลวงและอวี้อาเหราอย่างตั้งใจ
สายตาของจวินเสวียนจีจ้องมองไปยังข้อมือของอวี้อาเหรา สายตามองไปจับจ้องหยกเลือดอย่างไม่ตั้งใจ นางจ้องมองจนใจลอย สายตาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นตึงเครียดขึ้น
ไทเฮาเองก็ค่อยๆ เกิดความสนใจต่อการมีอยู่ของหยกเลือดขึ้นมาอย่างช้าๆ นางนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ และไม่มั่นใจว่าใช่หยกเลือด อันเป็นของล้ำค่าในโลกนี้ใช่หรือไม่