ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 475-476
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 475 มีเงินรับผิดชอบ / ตอนที่ 476 แก้มัด
ตอนที่ 475 มีเงินรับผิดชอบ
อย่าได้หวัง!
เมื่อเห็นสีหน้าไม่ยินดีของนาง ฉู่เกอก็ก้มหน้าลง น้ำเสียงเหมือนถูกรังแกดังขึ้น “พี่เหราเอ๋อร์อย่าได้โทษข้า ข้าร่างกายอ่อนแอ อย่างไรก็ทนการถูกโบยไม่ได้ หากท่านถูกฮ่องเต้สั่งโบยจริงๆ ข้าจะต้องเป็นคนทายาให้ท่านเอง เพื่อให้ท่านหายไวๆ หากท่านถูกโบยจนพิการ ก็วางใจเถิด ข้าจะดูแลท่านจนแก่เฒ่าถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต!”
ระหว่างที่นางพูดนั้น นางก็ตบอกของตัวเองอย่างมั่นใจ
“เจ้าน่ะซีถึงจะโดนโบยจนพิการ!” อวี้อาเหราที่ก่อนหน้านี้โกรธอยู่ เมื่อเห็นนางทำท่าเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา
“พี่เหราเอ๋อร์ยอมพูดกับข้าแล้ว” ฉู่เกอยิ้มจนหน้าบาน
อวี้อาเหรารำคาญ “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าจะเลี้ยงดูข้าจนแก่เฒ่า จะไปเอาเงินมาจากไหนกัน?”
“ท่านวางใจเถิด แม้จวนเซิ่นอ๋องของข้าจะไม่ได้มีทุกอย่าง แต่ว่ามีเงิน ข้ารู้ว่าฉู่ฉู่ของข้าซ่อนคลังสมบัติเอาไว้เท่าไร เมื่อถึงตอนนั้นข้าต้องเลี้ยงท่านได้แน่ๆ” ฉู่เกอกระซิบบอกที่หูของนาง จงใจลดเสียงลง
อ้อ มีเงินรับผิดชอบ…
อวี้อาเหราลังเล เมื่อได้ยินคำว่าคลังสมบัติขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คลังสมบัติอะไรกัน”
“ก็คือ…” ในยามที่ฉู่เกอกำลังจะเปิดเผยความลับ ฉู่ป๋ายที่อยู่ข้างหน้าก็กำหมัดขึ้นป้องปากพร้อมกระแอมขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอ นางก็หยุดพูดทันที
อวี้อาเหรายังคงถามต่อ “เจ้าพูดต่อสิ”
“ข้าไม่กล้าพูดหรอก กลัวว่าจะถูกคิดบัญชีภายหลังน่ะ” ฉู่เกอรีบส่ายหน้า เอามือปิดปาก สีหน้าแสดงออกมาว่าแม้จะถูกตีจนตายก็ไม่กล้าพูด
อวี้อาเหราจึงทำได้แต่เพียงจ้องมองฉู่ป๋าย หมอนี่ช่างน่าตายนัก เกือบจะรู้อยู่แล้วเขียวว่าเขาซ่อนคลังสมบัติอะไรไว้ แน่นอนว่าจะต้องซ่อนสมบัติเอาไว้มากมายเป็นแน่ หากหยิบมาสักชิ้นสองชิ้น จะต้องสบายไปทั้งชาติ
วันนี้นางตกหลุมพรางเขา แน่นอนว่าอย่างน้อยๆ จะต้องเอาคลังสมบัติมาเป็นตัวต่อรองบ้างสิ
ฉู่ป๋ายมองไปด้านหน้าตาไม่กะพริบ จนไม่ได้สังเกตว่าด้านหลังมีสายตาจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
พวกจวินเสวียนจีเองก็ยืนมองอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นว่ามีคนค่อยๆ ก้าวเข้ามาในวังหลวงจึงถอนสายตา
จวินไหวโหรวไอออกมา ราวกับกำลังจะตายเพราะการไอ
จวินเสวียนจีได้ยินดังนั้นก็รู้สึกรำคาญเต็มทน แต่เพราะเป็นคนที่มีความอดทน จึงได้แต่ส่งสายตาให้นางอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าไม่สบาย ก็กลับวังไปพักผ่อนเถิด”
“เพคะ ไหวโหรวทราบแล้ว” จวินไหวโหรวก้มหน้า แล้วมองไปข้างๆ “คุณชายหนิงเมื่อครู่นี้เล่า?”
“คงจะไปเสียแล้วกระมัง เจ้าก็กลับวังเถิด เราจะไปหาเสด็จพ่อเสียหน่อย” ใจของจวินเสวียนจีตอนนี้ไหนเลยจะสนใจหนิงจื่อเย่ได้
จวินไหวซ่งและจวินไหวโหรวเข้าใจว่านางคิดเช่นไร ตอนนี้นางคงกำลังคิดถึงอันตรายที่เซิ่นซื่อจื่อจะได้รับ ก็ไม่กล้ารบกวน
จวินไหวซ่งไม่ยอมพลาดละครฉากสนุกๆ เช่นนี้แน่ เพราะเกี่ยวข้องกับอวี้อาเหราเสียด้วย แน่นอนว่านางจะต้องรอดู ในเมื่อนางกินปลาร้อน นางก็ต้องชดใช้ ให้เหมาะสมกับที่นางไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้น แล้วพูดกับจวินเสวียนจีว่า “พี่หญิง น้องก็อยากจะไปถวายพระพรเสด็จพ่อด้วยเพคะ”
“ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันสิ” จวินเสวียนจีไม่พูดอะไรมาก เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
หลังจากพูดคุยกันแล้วก็รีบเข้าวังหลวงไปในทันที เหลือเพียงจวินไหวโหรวยืนอยู่คนเดียว นางยืนกุมผ้าเช็ดหน้าในมือเอาไว้แน่น
นางมองไปข้างหน้า จากนั้นก็เงียบงัน
ใบหน้าของนางดูอ่อนแอ ทว่าสายตาของนางกลับส่องประกายแวววาว
อีกด้านหนึ่งนั้น พวกอวี้อาเหราที่ถูกคุมตัวเข้ามาในวังหลวงก็พบหวังเซิ่งเต๋อคอยยืนต้อนรับอยู่
เมื่อเห็นว่ามือของพวกเขาถูกมัดเอาไว้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ต่อว่าองครักษ์ที่คุมตัวพวกเขา
ตอนที่ 476 แก้มัด
“พวกเจ้าทำอะไรน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าคุมตัวเซิ่นซื่อจื่อและคุณหนูรองกลับมาพร้อมทั้งมัดตัวเอาไว้ รีบแก้มัดเร็วเข้า!”
“เป็นคำสั่งของฝ่าบาท บ่าวไม่กล้าขัด” เหล่าองครักษ์ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่เคลื่อนไหว
“พวกเจ้าทุกคนก็ช่างหัวแข็งยิ่งนัก!” หวังกงกงได้ยินแล้วก็โกรธจนแทบจะระเบิด
“กงกงอย่าได้เหนื่อยเพื่อพวกเราเลย” เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ฉู่ป๋ายก็เอ่ยปากห้าม
หวังกงกงหัวเราะ “จะได้อย่างไรขอรับ เซิ่นซื่อจื่อ คุณหนูรอง รวมไปถึงท่านหญิงนั้นมีสถานะสูงส่ง แล้วจะให้ถูกมัดตัวเหมือนนักโทษได้หรือ?”
“ทำผิดก็สมควรได้รับโทษ นี่เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ท่านดูเถิด คุณหนูรองหลิงเป็นตัวต้นเหตุแท้ๆ เมื่อถูกกระทำเช่นนี้ยังไม่กล่าวอะไรสักคำเลย” ฉู่ป๋ายวกกลับมาพูดถึงนาง
อวี้อาเหรามองเขาอย่างนิ่งงัน เมื่อครู่เขาพูดว่านางที่ทำผิดยังไม่กล้าเอ่ยปากอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เสียหน่อย นางไม่ใช่คนต้นคิดเรื่องนี้
“บ่าวลืมไปเสียแล้ว ไหนเลยคนจากจวนอ๋องจะเหมือนคนทั่วไป” หวังกงกงตบหน้าผากตัวเองเบาๆ จากนั้นจึงทำสีหน้าเหมือนนึกขึ้นมาได้ “เชิญทุกท่านเข้ามาก่อน ตอนนี้ฝ่าบาทคงกำลังรอแทบไม่ไหว เป็นเพราะบ่าวกล่าววาจามากความ จนทำให้ทุกท่านเสียเวลาถึงเพียงนี้”
“อืม” ฉู่ป๋ายพยักหน้า จากนั้นก็เดินนำเข้าไปข้างใน
อวี้อาเหราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หลับตาลง ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว หากจะต้องตายก็ให้ตายเร็วหน่อยเถิด!
ฉู่เกอยืนมองพวกเขาสองคนคราหนึ่ง ก่อนจะเดินตามเข้าไป โดยมีพวกหานสือเดินตามหลังมา
อีกทั้งยังมีองครักษ์จากพระแท่นวายุจันทราอีกสองคนที่มีสีหน้าเศร้าสลด
พวกเขาก็เพียงกินไปแค่หนึ่งตัวเท่านั้น และยังเป็นเพราะคำสั่งของท่านหญิง พวกเขาจะขัดได้หรือ? แม้ว่าจะกินไปส่วนหนึ่งจริงๆ ทว่าตอนนี้ก็รู้สึกผิดมาก นึกอยากจะวิ่งชนกำแพงให้ตายไปเสียยิ่งนัก
เมื่อมาถึงพระตำหนักใหญ่แล้วก็เห็นฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยพระพักตร์บึ้งตึง ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วแต่ก็ขี้เกียจจะเงยหน้าขึ้นจากกองม้วนรายงานที่กองเป็นภูเขา
“ฝ่าบาท เซิ่นซื่อจื่อและพวกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงสะบัดแส้ เสียงแหลมเล็กของเขาดังไปทั่วบริเวณ
ฮ่องเต้ไม่ได้กล่าวอะไร และยังคงไม่เงยพระพักตร์ขึ้นราวกับไม่ได้ยิน
“ฝ่าบาท เซิ่นซื่อจื่อและพวกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงเรียกเสียงเบาๆ อีกครั้ง
สายตาของฮ่องเต้แสดงให้เห็นถึงความรำคาญ เมื่อกำลังจะพูดขึ้นมา ก็มีนางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาหวังเซิ่นเต๋อ แล้วออกคำสั่งกับหวังเซิ่งเต๋อว่า “หวังกงกงออกไปก่อน บ่าวจะดูแลที่นี่เอง”
“ขอรับ” หวังกงกงก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วจึงถอยออกไป
อวี้อาเหรามองไปยังนางกำนัลหญิงนางนี้อย่างไม่ใคร่เข้าใจนัก นางน่าจะมีอายุเพียงยี่สิบหรือสามสิบปีเท่านั้น ไม่ได้ดูแก่ชราเลยแม้แต่น้อย แต่สีหน้าดูเข้มงวด อย่างไรเสียหวังเซิ่งเต๋อก็ถือว่าเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ แต่นางกำนัลผู้นี้กลับกล้าที่จะออกคำสั่งต่อหน้า คนผู้นี้คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่
“นางเป็นองครักษ์หญิงที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ มีสถานะสูงกว่าหวังกงกง”
ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง ฉู่ป๋ายจึงก้มลงกระซิบที่หูของนาง
“อ้อ” อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมามาในทันที
องครักษ์หญิงมองมาที่พวกเขา จากนั้นก็หันไปสั่งทหารที่อยู่ด้านหลัง “แก้มัดให้พวกเซิ่นซื่อจื่อแล้วถอยออกไป”
องครักษ์มองฮ่องเต้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ว่าอะไร จึงรีบแก้มัดในทันที
เมื่อครู่นี้ แม้เป็นหวังกงกงพูดก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะยอมแก้มัดให้ แต่ตอนนี้กลับสามารถแก้มัดได้ง่ายๆ
ฮ่องเต้มองแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป “ใครบอกให้แก้มัดพวกนั้น?”
“หม่อมฉันเองเพคะ” องครักษ์หญิงหลุบตาต่ำ ท่าทางดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ฮ่องเต้จึงพ่นลมหายใจออกมา และไม่พูดอะไรอีก ยังคงก้มหน้าจัดการธุระต่อไป ราวกับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา มิเช่นนั้นก็คงแสร้งทำเป็นไม่เห็นนั่นเอง