ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 489-490
ตอนที่ 489 คำสั่ง / ตอนที่ 490 แม่หนูเกอ
ตอนที่ 489 คำสั่ง
ถูกประชาชนมองเห็นกันทั่ว ตอนนี้ข่าวคงถูกแพร่กระจายไปจนทั่วโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาทุกที่แล้ว แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่การที่ถูกคนอื่นพูดไปทั่วเช่นนี้ ก็ยิ่งกลายเป็นข่าวลือที่สดใหม่ขึ้นไปอีก
หากเวลาล่วงเลยผ่านไปนานกว่านี้ ก็ไม่แน่ว่าคงจะถูกนักเล่าเรื่องตามท้องถนนพูดไปทั่วแล้ว
เมื่อเห็นว่าฝ่าบาทเดินจากไปแล้ว กลุ่มคนทั้งหมดต่างก็ทอดถอนใจออกมาตามๆ กัน
แม้เรื่องราวในวันนี้จะไม่มีผู้ใดที่ถูกลงโทษ แต่คนที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นองครักษ์แห่งพระแท่นวายุจันทรา ที่ต้องถูกโบยตีไปถึงห้าสิบไม้เปล่าๆ ส่วนคนอื่นกลับไม่โดนลงโทษอะไรเลย
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว อวี้อาเหราก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
จวินฉางอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ มองมาที่นาง “ให้เราไปส่งเจ้ากลับเถิด”
“ไม่ต้อง” อวี้อาเหราส่ายหน้า “องค์รัชทายาทมีพระราชกิจมากมาย ไหนเลยจะมาเสียเวลากับคนอย่างหม่อมฉันได้ พระองค์ว่าจริงหรือไม่เล่าเพคะ? หม่อมฉันกลับไปยังจวนหลิงอ๋องเพียงผู้เดียวได้ ไม่จำเป็นต้องรบกวนรัชทายาทให้ไปส่งหรอกเพคะ”
นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
จวินฉางอวิ๋นมองนาง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “เจ้ากำลังปฏิเสธเราหรือ”
“เพคะ” อวี้อาเหราไม่ตอบอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบออกมาตรงๆ
ดวงตาของจวินฉางอวิ๋นแสดงให้เห็นถึงความโกรธเคืองที่แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
นอกจากอวี้อาเหราแล้ว คงไม่มีใครกล้าที่จะทำเช่นนี้กับองค์รัชทายาทหรอกกระมัง
นางช่างกล้าหาญยิ่งนัก หากเป็นคนอื่นคงตกใจเสียจนลนลาน หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าในยามนี้ ไม่เหมือนกับหญิงสาวที่เคยวิ่งตามติดตัวเขาเลยแม้แต่น้อย
ในสมองนึกย้อนไปจนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นริมหน้าผา ครั้งนั้นนางเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ แต่เขากลับผลักนางตกหน้าผาไป ในยามนั้นเขารู้สึกรำคาญอีกฝ่ายเต็มทน ไม่ชอบหญิงสาวที่ตามติดเขาเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นเพราะเสด็จย่าทรงโปรดนาง เพราะต้องการที่จะใช้อำนาจของหลิงอ๋อง ดังนั้นเขาจึงจำต้องอดทน
ที่ริมหน้าผานอกเมืองแห่งนั้น ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะลงมือ
แต่ไม่คิดว่านางจะตกลงไปตายจริงๆ จนทำให้เขาต้องรับผิดชอบ หลังจากนั้นก็ถูกขังไว้ที่วังตะวันออก เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ที่แท้ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะหญิงสาวตรงหน้า เขาจึงโกรธแค้นนางเสียเหลือเกิน
แต่ว่า อวี้อาเหราในตอนนี้ เขากลับพิจารณาตัวนางอย่างละเอียดลออโดยไม่ได้ตั้งใจ
เหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงไม่เคยรู้สึกว่านางมีหน้าตาที่งดงามถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังฉลาดทั้งยังเจ้าเล่ห์ สีหน้าและท่าทีอันหลากหลายและซับซ้อนจนไม่ปรากฏให้เห็นอย่างแน่ชัด ยิ่งสวมชุดสีแดงเช่นนี้ รวมถึงผิวเนื้อสีขาวงดงาม ในโลกนี้จะมีคนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้ว่าจะนำมาเปรียบเทียบกับผู้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามอย่างจวินเสวียนจี ก็ไม่แน่ว่าจะงดงามจนชนะขาดลอย
เมื่อคิดถึงการกระทำและคำพูดในสมัยก่อนที่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมอยู่ห่างจากเขา ในใจก็โกรธจนเหมือนไฟสุม หากเป็นช่วงเวลาปกติเขาคงไม่สนอะไรอีกต่อไป แต่เมื่อเห็นสายตาที่ไร้เดียงสาและยังแฝงรอยยิ้มเอาไว้แล้ว
ไฟโกรธนี้ ก็ไม่สามารถที่จะปะทุขึ้นมาได้อีก
ทำได้แต่เพียงกักเก็บเอาไว้ในใจ
เช่นนั้นเขาจึงกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูดีขึ้นอีกหน่อยว่า “นี่เป็นพระราชเสาวนีย์ของเสด็จย่า ข้าไม่กล้าขัด”
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นเพราะไทเฮาสั่ง เขาไม่ได้อยากจะไปเองเสียหน่อย หากเจ้าไม่ยอมให้เขาไป ก็เท่ากับฝืนคำสั่งของไทเฮา สุดท้ายก็ต้องถูกลงโทษ
ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก! อวี้อาเหราสบถในใจด้วยเสียงเหยียบเย็น
“ในเมื่อรัชทายาทตรัสเช่นนี้ ก็แล้วแต่พระองค์เถิดเพคะ”
หลังจากที่พูดจบแล้ว นางก็หมุนตัวกลับไปจ้องมองฉู่ป๋าย แผนการที่เขาตั้งจะใส่ร้ายนางได้หมดความหมายไปเสียแล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องโกรธ แต่ไม่ว่าจะโกรธอย่างไร ก็ยังไม่เห็นร่องรอยความโกรธเคืองให้เห็นบนใบหน้าแน่
ซ่อนเอาไว้ลึกยิ่งนัก ให้เขาพูดไปเถิด ดูสิว่าทีนี้เขาจะโทษใครได้อีก!
ตอนที่ 490 แม่หนูเกอ
เมื่อย้ายสายตาจากฉู่ป๋ายก็หันไปมองฉู่เกอ เมื่อถอนสายตากลับมาแล้ว ก็หันไปประคองหลิงอ๋องอีกครั้ง “เสด็จพ่อ กลับจวนกันเถิดเพคะ”
“อืม” หลิงอ๋องพยักหน้าลง
สองพ่อลูกจึงออกจากพระตำหนักใหญ่ไป
เมื่อฉู่เกอเห็นดังนั้นก็หันไปพูดกับพี่ชายของตัวเองว่า “พวกเราก็กลับกันบ้างเถิด”
“ตกลง” ฉู่ป๋ายตอบรับเสียงเบา สาวเท้าก้าวออกไปข้างนอก
เมื่อจวินฉางอวิ๋นมองเห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้ว ก็เดินตามสองพ่อลูกออกไป
ในพระตำหนักใหญ่เหลือเพียงขันทีและนางกำนัล
ฉู่เกอเดินตามอวี้อาเหราและหลิงอ๋องไปติดๆ นางยิ้มแหะๆ แล้วเข้าไปใกล้ ไม่ได้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย “หลิงอ๋อง จำข้าได้หรือไม่ ข้าก็คือฉู่เกออย่างไร”
“ฉู่เกอ?” หลิงอ๋องสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นแม่หนูเกอนี่เอง ก่อนหน้านี้ได้ยินจากอาเหราว่าเจ้าเพิ่งกลับมาจากค่ายใหญ่ซีซาน ก่อนหน้านี้มัวยุ่งเรื่องปลาร้อน จึงมองไม่เห็นว่าอยู่ด้วย”
ฉู่เกอยู่ปาก “หลิงอ๋อง ท่านนี่ช่างกระไร เหตุใดจึงมองไม่เห็นข้า ข้ายังจำได้อยู่เลยว่าเมื่อก่อนยังไปเล่นที่จวนหลิงอ๋อง ท่านยังยิ้มแล้วให้ขนมข้า ข้าเลยไปทุกวัน ไม่คิดเลยว่าจะถูกลืมเสียแล้ว”
“ไม่หรอก จะลืมเจ้าได้อย่างไรกัน” หลิงอ๋องรีบส่ายหน้า ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ ไม่ค่อยเห็นเขายิ้มอย่างดีใจเช่นนี้เลย
อวี้อาเหราเห็นคนทั้งสองพูดคุยกันก็ไม่คิดว่าเมื่อก่อนนี้ฉู่เกอจะเคยไปเที่ยวเล่นที่จวนหลิงอ๋องบ่อยๆ แต่เหตุใดนางจึงจำไม่ได้? เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็เกือบลืมไปว่านี่เป็นยุคโบราณ หญิงสาวกุลสตรีทั่วไปจะไม่ออกนอกประตูบ้านไปไหนโดยเด็ดขาด ไหนเลยนางจะได้พบเห็นฉู่เกอง่ายๆ เล่า
อีกอย่าง ฉู่เกอก็ไม่ใช่หญิงสาวที่เป็นกุลสตรีเท่าไรนัก นางคงจะวิ่งไปนู่นมานี่
“เกอเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาทต่อหลิงอ๋อง” ยามนั้น ฉู่ป๋ายก็ก้าวฝีเท้าเบาๆ ตามมา แล้วพูดกับฉู่เกอด้วยน้ำเสียงดุๆ จากนั้นก็เลิกคิ้วแล้วคุยกับหลิงอ๋องว่า “เกอเอ๋อร์เติบโตที่ค่ายซีซาน ดังนั้นจึงพูดจาไม่ค่อยเหมาะควร ขอให้หลิงอ๋องทรงอภัยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก เราชอบท่าที่จริงใจเปิดเผยของเกอเอ๋อร์” หลิงอ๋องโบกมืออย่างอารมณ์ดี แล้วเลิกขึ้นขึ้นพลางถาม “เจ้าอยู่ที่ซีซานหรือ? พอดีเชียว อวี้จื้อของข้าก็อยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าแม่หนูเกอเคยพบเขาบ้างหรือไม่”
“อวี้จื้อ?” เมื่อพูดเช่นนี้ ฉู่เกอก็ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่แล้ว” หลิงอ๋องพยักหน้าอีกครั้ง
ฉู่เกอได้สติ “เคยพบอยู่สองสามครั้ง”
“อ้อ? เขาเป็นอย่างไรบ้าง” หลิงอ๋องถามอย่างใส่ใจ แม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่เผยให้เห็นถึงความวิตกกังวล แต่แน่นอนว่าในใจย่อมเป็นห่วงบุตรชายเพียงคนเดียว ต้องถูกฮ่องเต้ส่งตัวไปเลี้ยงที่ค่ายทหารตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ได้พบกันตั้งหลายปี หากบอกว่าไม่คิดถึงก็คงจะเป็นเรื่องโกหกแล้ว
ในเวลาเดียวกัน เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจ
บุตรธิดาของจวนหลิงอ๋องย่อมไม่เหมือนลูกบ้านอื่น อีกอย่างเขายังเป็นบุตรจากภรรยารอง ที่ฮ่องเต้ส่งเขาไปยังค่ายทหารก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะหลิงอ๋องเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้ว่าตอนนี้แว่นแคว้นจะอยู่ในช่วงสงบสุข ไม่นึกอยากจะนำทหารออกไปสู้รบ แต่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเยี่ยนจำต้องมีบุคคลที่สืบทอด
อวี้จื้อเป็นทายาทชายเพียงคนเดียวของจวนหลิงอ๋อง แม้ว่าจะไม่ได้เป็นโอรสเอก แต่ต่อไปก็จะต้องสืบทอดตำแหน่งต่อ ไหนเลยจะไม่มีสิทธิ์ในการนำกองทัพเล่า?
ดังนั้น แม้ว่าจะอาลัย แต่ก็ต้องตัดใจ
เพราะเป็นลูกหลานชนชั้นสูง จึงไม่อาจมีความคิดเป็นของตัวเองได้
ยามที่ได้เสพสุขในสิ่งที่ดีงามหรูหรากว่าผู้อื่น แน่นอนว่าย่อมต้องพยายามมากกว่าผู้อื่น