ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 505-506
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 505 น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ / ตอนที่ 506 ดีดพิณ เดินหมาก คัดอักษร และวาดภาพ
ตอนที่ 505 น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋
“ไทเฮา พระองค์อาจจะไม่ทรงทราบ หม่อมฉันชื่นชอบปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้มากที่สุด เมื่อก่อนเคยทานบ่อยๆ เพคะ” อวี้อาเหราไม่ได้พูดโกหก คนในยุคปัจจุบันคนไหนบ้างที่จะไม่เคยกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋กันเล่า? นางไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าไม่ชอบ ก็อร่อยเสียขนาดนี้ น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋อาจจะเป็นเพียงของสิ่งเดียวที่สามารถเชื่อมโยงยุคปัจจุบันและยุคโบราณเข้าด้วยกัน
ยากเหลือเกินกว่าที่นางจะมีความรู้สึกคุ้นเคยถึงเพียงนี้
ไทเฮายินดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ไม่คิดว่าอาเหราจะชื่นชอบเช่นเดียวกันกับเรา”
จวินเสวียนจียิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ในเมื่อเสด็จย่าและคุณหนูรองชื่นชอบก็รีบทานเถิดเพคะ น้ำเต้าหู้นั้นต้องทานตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อยที่สุด มัวแต่พูดคุยกันอยู่เช่นนี้ เสวียนจีทนไม่ไหวจะขอชิมก่อนแล้วนะเพคะ”
อวี้อาเหรากวาดตามองอย่างเย็นชา ที่นางบอกว่าจะลองชิม อย่างมากก็เพียงเพื่อเอาใจไทเฮาเฉยๆ มิใช่หรืออย่างไรกัน?
ไทเฮารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมองไปทางจวินไหวโหรวอีกครั้ง “โหรวเอ๋อร์อยากลองด้วยหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเพคะ เสด็จย่า” จวินไหวโหรวส่ายหน้าปฏิเสธ “ร่างกายของหลานไม่ค่อยดีนัก คงทานอาหารมันเลี่ยนไม่ได้ ในเมื่อเสด็จย่าทรงโปรดก็เสวยเถิดเพคะ โหรวเอ๋อร์เห็นเสด็จย่าทานได้ก็เพียงพอแล้วเพคะ”
“ก็ได้” ไทเฮาไม่บังคับ แล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาดื่ม ด้านนอกก็เกิดเสียงจอแจขึ้น
เมื่อมองออกไปข้างนอกก็พบว่าฮ่องเต้ที่สวมชุดมังกรกำลังเดินเข้ามาพร้อมพระสรวลด้วยสุรเสียงล้ำลึก “ลูกได้กลิ่นหอมมาแต่ไกล จึงเดิมตามมา ไม่คิดว่าในตำหนักของเสด็จแม่จะครึกครื้นถึงเพียงนี้ มีคนตั้งมากมาทานข้าวเป็นเพื่อนเสด็จแม่ ลูกก็เบาใจพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนล้วนลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วทำความเคารพฮ่องเต้
ไทเฮาปรายตามอง “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมายังตำหนักของแม่ได้ ช่างน่าประหลาดใจนัก”
“เสด็จแม่อย่าได้ทรงกริ้ว ก่อนหน้านี้ราชกิจรัดตัวนัก ยากเหลือเกินที่จะหาเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเสด็จแม่ได้ วันนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรนัก ดังนั้นจึงกลับเร็ว รีบมาเสวยอาหารเช้ากับเสด็จแม่โดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้มีรอยพระสรวลประดับในหน้า
“น่าชื่นชมความกตัญญูของฝ่าบาท” ยากนักที่ไทเฮาจะเผยรอยยิ้มให้เห็น “นั่งเถิด มากินข้าวกับแม่”
“ลูกรับพระบัญชา” ฮ่องเต้จึงทำความเคารพ จากนั้นก็นั่งลงบนที่ประทับ มองไปยังคนอื่นๆ ที่ยังยืนไม่ยอมนั่ง แล้วจึงขมวดคิ้ว “พวกเจ้าก็นั่งลงเถิด วันนี้มาทานอาหารเป็นเพื่อนไทเฮา ขอเพียงไทเฮาทรงพระสำราญก็เป็นเรื่องดี ไม่ต้องเกรงใจ”
“เพคะ” พวกคนที่เหลือจึงรีบนั่งลง
ฮ่องเต้มองไปทางน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ แล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัย “นี่มันอะไรกัน”
“เสด็จพ่อ อาหารที่เป็นน้ำนี่คือน้ำเต้าหู้ คือน้ำที่คั้นจากถั่วเหลือง ของยาวๆ อีกอย่างหนึ่งคือปาท่องโก๋ คือแป้งที่นวดจนเข้ากันดีแล้วเอาไปทอด กรอบอร่อยมากเพคะ” จวินเสวียนจีอธิบายอย่างละเอียด เมื่อเห็นนางสามารถอธิบายเช่นนี้ นางคงเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋เป็นอย่างดี
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูแล้วน่าจะอร่อยไม่เลว เราไม่เคยทานมาก่อน” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างเข้าใจ
จวินเสวียนจีถามอย่างลองเชิง “เสด็จพ่อลองเสวยเถิดเพคะ นี่เป็นอาหารที่เสด็จย่าทรงโปรด ลูกและคุณหนูรองเองก็อยากจะลองทานบ้างเพคะ”
“ได้” ฮ่องเต้รับคำอย่างไม่ลังเล
ในเมื่อบอกว่าไทเฮาชอบ เพื่อเอาใจนาง แม้ว่าจะไม่ชอบก็ลองชิมเสียหน่อยจะเป็นไร
จวินเสวียนจีตักน้ำเต้าหู้ถ้วยหนึ่งให้ฮ่องเต้
หลังจากฮ่องเต้ทรงดื่ม ก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย แล้วจึงหันไปทางไทเฮา จึงเห็นนางใช้มือฉีกปาท่องโก๋จุ่มลงไปในน้ำเต้าหู้แล้วกิน
ตอนที่ 506 ดีดพิณ เดินหมาก คัดอักษร และวาดภาพ
หากกินปาท่องโก๋ไปสักคำแล้วเกิดความรู้สึกเลี่ยน ก็ให้กินคู่กับน้ำเต้าหู้ รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว
ดังนั้นเขาจึงลองเลียนแบบดู
ไทเฮาส่งสายตามา “ฮ่องเต้คิดว่าปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้นี่เป็นอย่างไรบ้าง”
“รสชาติยอดเยี่ยม” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างชื่นชมออกมาจากใจจริง
อวี้อาเหราเหยียดมุมปาก เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่เคยลิ้มลองปาท่องโก๋มาก่อนของฮ่องเต้แล้ว ในใจก็นึกค่อนขอดขึ้นมา นางที่คุ้นเคยกับน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ แต่เดิมไทเฮาคิดว่านางนั้นทำไปเพราะต้องการที่จะเอาใจ แต่เมื่อเห็นท่าทีของนางที่คุ้นเคยก็ขจัดความคิดเช่นนั้นออกไป เมื่อมองไปทางอวี้เสวียนจี ก็เห็นได้ชัดเจนว่านางกลัวปาท่องโก๋จะทำให้นางเลอะมือ ยามที่กิน นางยังใช้ผ้าเช็ดหน้าจับ ที่บอกว่าชอบ ก็คงจะเป็นเรื่องโกหก
ในใจของนางก็เข้าใจขึ้นมาในทันที แล้วก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา
หลังจากกินปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้แล้ว นางกำนัลก็ยกโจ๊กเปล่ามาให้ คนทั้งหลายก็พากันกินตามใจชอบ
จากนั้นจึงค่อยกินขนมของว่าง
อาหารที่ขึ้นโต๊ะเสวยของไทเฮานั้นช่างต่างจากอาหารของคนธรรมดายิ่งนัก สมแล้วที่เป็นราชวงศ์ แม้แต่อาหารเช้าก็ยังมีหลากหลาย ทำให้คนกินไม่รู้สึกเลี่ยน ก่อนหน้านี้อวี้อาเหรารู้สึกหิว เมื่อเห็นของอร่อยอยู่ตรงหน้าก็ไม่พูดอะไรอีก เอาแต่กินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ
จนเมื่อสายตาของไทเฮาและคนอื่นๆ มองเข้ามา นางจึงค่อยหยุดมืออย่างรู้ตัว แล้วมองกลับ
ไทเอาหัวเราะออกมา “ไม่ต้องสนใจเราหรอก รีบกินเถิด เราเห็นเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกชอบนัก”
“อ้อ” อวี้อาเหราตอบรับอย่างแปลกประหลาด ถูกคนตั้งมากจ้องมองเช่นนี้ ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย ความเร็วในการกินค่อยๆ ลดลง มีมารยาทขึ้นมากโข
เจาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังก็รู้สึกขบขันขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ คุณหนูของนางนั้นหากได้กินแล้วก็จะลืมทุกอย่าง ไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร เอาแต่สนใจกินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อครู่นี้ นางกินทุกอย่างราวกับพายุ ก็ตกใจเสียแทบแย่ เพราะกลัวว่าไทเฮาจะไม่พอใจ ยังดีที่ไม่เป็นอะไร
ไทเฮาไม่มีท่าทีโกรธเคืองแม้แต่น้อย
มื้ออาหารที่จบลงด้วยความครื้นเครง
หลังจากที่ฮ่องเต้ดื่มชาไปแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนจากที่ประทับ จากนั้นก็พูดกับไทเฮาว่า “ลูกยังมีราชกิจที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน”
“ไปเถิด” ไทเฮาโบกมืออย่างอารมณ์ดี
หลังจากที่ทานอาหารอิ่มแล้ว ต่อไปก็ถึงคราวที่อวี้อาเหราจะต้องเรียนศิลปะของสตรี ในใจนางก็รู้สึกกังวลยิ่งนัก
หลังจากที่จวินเสวียนจีมองไปทางอวี้อาเหราแล้ว จึงค่อยหันไปคุยกับไทเฮา “เสด็จย่า รีบสอนคุณหนูรองเถิดเพคะ หากชักช้าอีก ต่อไปก็จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว”
“ไทเฮา” อวี้อาเหราแสดงสีหน้าทุกข์ระทม “เมื่อครู่นี้ทานจนอิ่มหนำ ขอพักก่อนสักครู่ได้หรือไม่เพคะ”
“เรื่องนี้…” ไทเฮากำลังจะเอ่ย ก็ถูกจวินเสวียนจีขัดขึ้นมาเสียก่อน นางมองไปทางอวี้อาเหรา “ก็เพราะกินอิ่มแล้วนั่นแหละจึงต้องรีบๆ เรียน เพื่ออาศัยช่วงที่ร่างกายยังคงแข็งแรงเช่นนี้”
“อืม เสวียนจีกล่าวได้ถูกต้อง” ไทเฮาเห็นด้วยกับคำพูดของจวินเสวียนจีเต็มที่
อวี้อาเหราเบื่อนัก แต่ก็จำต้องพยักหน้ายอมรับ แล้วจึงถามขึ้นมา “ไม่ทราบว่าจะเรียนอะไรก่อนดีเพคะ”
ไทเฮาคิดอยู่สักครู่ แล้วจึงหันไปหาจวินเสวียนจี “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สอน ก็รีบตัดสินใจเสียเถิด”
“เพคะ” จวินเสวียนจีนึกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวว่า “หากเป็นการเรียนเรื่องดีดพิณ เดินหมาก คัดตัวอักษร และวาดภาพ ก็ต้องเรียนทีละอย่าง เช่นนั้นก็เรียนดีดพิณก่อนก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าเสด็จย่าทรงคิดเห็นประการใดเพคะ?”
“ดี เรียนพิณก่อนก็แล้วกัน” ไทเฮารับคำ
จวินเสวียนจีมองไปรอบๆ จากนั้นก็กล่าวว่า “ที่นี่เสียงพิณไม่ค่อยกังวานนัก ออกไปด้านนอกกันเถิด”