ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 507-508
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 507 ท่องทำนองพิณ / ตอนที่ 508 แอบอู้
ตอนที่ 507 ท่องทำนองพิณ
“ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปฝึกพิณข้างนอกเถิด” ไทเฮาเห็นด้วยกับการตัดสินใจของนาง
พวกนางเดินออกไปด้านนอก ขันทีสองคนวางพิณเอาไว้ข้างหน้าอวี้อาเหราหนึ่งตัว นางรับใช้ยกเก้าอี้จากในห้องมาให้นางอีกหนึ่งตัว อวี้อาเหรามองพิณโบราณที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเป็นทุกข์ พิณตัวนี้เพียงดูก็รู้ว่าเป็นของดี แต่นางไม่มีความสนใจในเรื่องการดีดพิณเลยแม้แต่น้อย เพราะนางไม่เหมาะกับกิจกรรมของกุลสตรีเช่นนี้
จวินเสวียนจีเดินเข้ามาหา ใช้นิ้วมือไล่ระดับเสียงของพิณ จากนั้นก็กวักมือเรียกอวี้อาเหราอย่างพึงพอใจ “คุณหนูรอง มานั่งตรงนี้เถิด”
“อ้อ” อวี้อาเหราก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความกระวนกระวายใจ
จวินเสวียนจีเห็นท่าทีของนางแล้ว ในดวงตาก็บังเกิดรอยยิ้ม ให้สาวใช้ไปหยิบทำนองเพลงพิณมาหนึ่งแผ่น แล้วหันไปซักไซ้อวี้อาเหรา “ไม่ทราบว่าคุณหนูรองเข้าใจทำนองเพลงพิณตรงหน้าหรือไม่?”
“ไม่เข้าใจเพคะ” อวี้อาเหราจ้องมองตาไม่กะพริบ เห็นแต่เป็นเพียงตัวอักษรโค้งไปโค้งมาเป็นแถวๆ นางนั้นแม้แต่โน้ตเพลงปัจจุบันก็ยังอ่านไม่รู้เรื่อง ไหนเลยจะอ่านทำนองเพลงภาษาโบราณได้เล่า อ่านออกเพียงไม่กี่ตัวก็ถือว่าเก่งแล้ว
หากจะต้องคัดตัวอักษรที่หน้าตาเหมือนทำนองเพลงเช่นนี้ ใจนางคงนึกอยากจะตายเสียกระมัง
เมื่อนางพูดออกไปแล้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ชะงักไป
จวิเสวียนจีนิ่งไป “หลิงอ๋องไม่เคยให้คนมาสอนเลยหรือ”
“ไม่เคยเพคะ” อวี้อาเหรารู้สึกแปลกใจ เหตุใดต้องให้คนมาสอนด้วยเล่า?
จวินเสวียนจีเห็นนางมีท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราว จึงหันไปมองไทเฮา จากนั้นจึงถอนสายตาแล้วอธิบายอย่างกระจ่าง “การดีดพิณ เดินหมาก คัดตัวอักษร และวาดภาพ เป็นศิลปะของสตรีที่เหล่ากุลสตรีต้องเรียนรู้ทุกคน เมื่ออยู่ในครอบครัวที่เหมาะสมก็จำต้องไปเชิญผู้อื่นมาสอน เหตุใดหลิงอ๋องจึงไม่เชิญอาจารย์มาสอนเจ้ากัน”
อวี้อาเหราเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจ นางจะรู้ได้อย่างไรว่าหลิงอ๋องเคยเชิญอาจารย์มาสอนหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของเจ้าของร่างเดิม แต่นางยังไม่กล้าพูดจาส่งเดช จึงทำเพียงหุบปากไม่พูดอะไรอีก เพราะกลัวว่าพูดจาผิดไปจะทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัย แล้วว่านางเหิมเกริม
จวินเสวียนจียิ่งไม่พูดอะไรไม่ออกอีก
กุลสตรีในเมืองเฟิ่งเฉิงแห่งนี้จะมีใครไม่รู้ศิลปะสตรีกันเล่า? แล้วอวี้อาเหราอยังเป็นถึงธิดาเอกของจวนหลิงอ๋อง ไม่เพียงแต่ต้องเป็นเท่านั้น แต่ยังต้องเก่งกาจกว่าบุตรสาวบ้านไหนๆ คิดไม่ถึงเลยว่านางไม่เพียงแต่จะไม่เก่งกาจ แต่แม้แต่ทำนองยังอ่านไม่ออก อย่างนั้นจะสอนได้อย่างไร?
ใบหน้าของไทเฮาเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ แล้วจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้ลง “ในเมื่ออาเหราไม่เคยเรียนมาก่อน เช่นนั้นก็เริ่มสอนตั้งแต่แรกเลยเถิด ให้นางอ่านทำนองเพลงได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน จากนั้นค่อยให้นางลองบรรเลงเพลงดู เชื่อว่านางนั้นเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว จะต้องเรียนรู้ได้เร็วเป็นแน่”
“หลานเข้าใจแล้วเพคะ” จวินเสวียนจีจำต้องพยักหน้ายอมรับ แล้วเอ่ยกับไทเฮา “เสด็จย่า พระองค์เสด็จกลับเข้าไปพักผ่อนในตำหนักเถิดเพคะ เรื่องตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเสวียนจีเอง พระองค์ต้องรักษาพระพลานามัยขององค์เองเอาไว้ก่อนนะเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าก็ค่อยๆ สอนเถิด” หลังจากที่ไทเฮามองอวี้อาเหราแล้วก็เดินจากไป
อวี้อาเหรายักไหล่ด้วยท่าทีไม่สนใจ มองสัญลักษณ์ที่อยู่ในทำนองเพลงพิณ ในใจก็รู้สึกหนักอึ้งเหมือนโดนหินขนาดใหญ่หล่นทับ นางรู้สึกหูอื้อตาลาย ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดี นางอ่านไม่เข้าใจแม้แต่ตัวเดียว
จนเมื่อจวินเสวียนจีค่อยๆ อธิบายว่าตัวอักษรใดมีความหมายว่าอย่างไรแล้ว นางก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
หลังจากสอนเรียบร้อยแล้ว จวินเสวียนจีก็กระแอมไอขึ้นมา “คุณหนูรองลองท่องดู พอท่องจนคล่องแล้วลองไล่เสียงตามสาย เชื่อว่าเพียงไม่นานก็คงจะเล่นเป็นเอง”
“เชิญองค์หญิง” อวี้อาเหราส่งนางกลับอย่างโล่งใจ นางไม่อยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ตอนที่ 508 แอบอู้
เมื่อจวินเสวียนจีไปแล้ว อวี้อาเหราก็หันไปทางเจาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าไปเอาน้ำให้ข้าดื่มที”
“ไม่ดีกระมังเจ้าคะคุณหนู ทั้งไทเฮาและองค์หญิงเสวียนจีล้วนแล้วแต่นั่งอยู่ด้านใน หากมองมาเห็นท่านแอบอู้อยู่ตรงนี้คงจะไม่พอพระทัยเป็นแน่” เจาเอ๋อร์ไม่ยินยอม
“ไม่เป็นไรหรอกน่า รีบไปเถิดไป” อวี้อาเหราสะบัดแขนเสื้อ “ข้าเพียงกระหายน้ำเท่านั้น หากข้ากระหายน้ำแล้วส่งผลต่อการท่องจำทำนอง พวกนางก็จะยิ่งไม่พอใจ เจ้าอยากให้ไทเฮาพิโรธหรืออย่างไร ไปรินน้ำมาให้ข้าเถิดไป”
“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์จำต้องออกไป ในใจคิดว่าคุณหนูของนางนั้นช่างเก่งในเรื่องหาข้ออ้างยิ่งนัก
หลังจากไปรินน้ำมาให้นางแล้ว ก็เห็นอวี้อาเหราถือทำนองเพลงเอาไว้ แต่ไม่เห็นว่านางจะอ่าน สายตากลับมองตรงไป นางรู้ดีว่าคุณหนูของตัวเองไม่ใช่คนที่จะยอมเรียนอะไรง่ายๆ ไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้เลย นางรีบยกน้ำเข้ามาให้ “คุณหนู นี่เจ้าค่ะ”
“อืม” อวี้อาเหรารีบยกขึ้นดื่มจนหมด
หลังจากดื่มแล้วก็ยื่นถ้วยชากลับคืน เจาเอ๋อร์รับมา แล้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู อย่าหาว่าบ่าวขี้บ่นเลยนะเจ้าคะ แต่เพราะศิลปะสตรีเหล่านี้ เป็นไทเฮาที่อยากให้ท่านเรียน หากท่านทำได้ไม่ดี แน่นอนว่านางต้องไม่พอพระทัย เมื่อข่าวลือแพร่ออกไปก็จะทำให้จวนหลิงอ๋องเสียหน้า ท่านตั้งใจเรียนบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็อ่านทำนองเพลงพิณให้ได้เถิด”
“รู้แล้ว ข้ารู้น่าว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ จะต้องตั้งใจเรียนใช่หรือไม่?” อวี้อาเหราจำต้องตั้งใจเรียน จากนั้นก็ทำราวกับนึกขึ้นมาได้ จึงหันไปถามเจาเอ๋อร์ “ความทรงจำของข้าขุ่นมัวนัก ก่อนหน้านี้เสด็จพ่อได้ส่งคนมาสอนเรื่องพวกนี้ให้ข้าบ้างหรือไม่”
“คุณหนูจำไม่ได้อีกแล้วหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ว่า “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องเชิญอาจารย์มาสอนเสมอ แต่ท่านไม่ยอมเรียนของพวกนี้ เอาแต่วิ่งตามรัชทายาทอย่างเดียว จนทำให้อาจารย์หลายท่านโกรธจนกลับไป จากนั้น เพราะความจำยอมของท่านอ๋อง จึงยกเลิกการเรียนของท่านไปเจ้าค่ะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้ารู้แล้ว” อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมา
“คุณหนูรู้อะไรหรือเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
อวี้อาเหรากลับไม่พูดอะไรอีก เอาแต่จ้องมองทำนองเพลงด้วยความตั้งใจ ดูแล้วคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องตัวจริงก็คงมีนิสัยเหมือนนาง ซึ่งไม่ชอบเรื่องพรรค์นี้เช่นเดียวกัน แต่จำต้องเรียนเพราะอยู่ในสภาวะจำยอม ในเมื่อตอนนี้ไทเฮาต้องการให้นางร่ำเรียนศิลปะเหล่านี้ นางก็จำต้องเรียนแต่โดยดี ไม่ยอมให้หลิงอ๋องต้องขายหน้า
นางมีความจำเป็นเลิศ การจำทำนองเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็เข้าใจกระจ่างเกือบทั้งหมด ยิ่งเข้าใจเรื่องการบรรเลงเพลงพิณได้เข้าใจลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เมื่อยิ่งเข้าไปสัมผัสก็ยิ่งรู้สึกไม่ธรรมดา
หลังจากท่องจำแล้ว จวินเสวียนจีและจวินไหวโหรวก็ประคองไทเฮาเข้ามา เมื่อเห็นอวี้อาเหรานั่งนิ่งๆ แล้วตั้งใจเรียนก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดูแล้วนางคงเป็นไม้อ่อนพร้อมดัด ไม่ดูแข็งเหมือนที่เห็นภายนอก
อวี้อาเหราเห็นพวกไทเฮาเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นทำความเคารพ ไทเฮาโบกพระหัตถ์ เพื่อตัดบทการกระทำของนาง แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าท่องทำนองเพลงแล้วหรือยัง”
“ท่องแล้วเพคะ” นางรีบพยักหน้า
“เร็วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ไทเฮาตกใจ แม้ว่าทำนองพิณพวกนี้จะถือว่าง่าย แต่ผู้ที่เริ่มเรียนใหม่ก็ไม่ถือว่าง่ายดายเท่าใดนัก แม้แต่จวินเสวียนจีเอง ยามที่เริ่มเรียนช่วงแรกก็ต้องท่องถึงเกือบหนึ่งวันเต็มๆ จึงจะท่องได้ แต่เมื่อครู่นี้ เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น