ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 529-530
ตอนที่ 529 มือจูงมือ
“ไปกัน” ฉู่ป๋ายไมปล่อยให้นางมีโอกาสหนี คำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากนั้นแผ่วเบา
อวี้อาเหรายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน นางทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองเขาเท่านั้น “เจ้ากุมมือข้าเสียเจ็บ ปล่อยก่อนเถิด”
ฉู่ป๋ายลังเลอยู่สักครู่ จากนั้นก็มองไปยังแมว สุดท้ายก็เปลี่ยนสายตามามองที่ร่างของนาง “เจ้าจะให้แมวจับเจ้าหรือให้ข้าจับเจ้า?”
เขาต้องการที่จะรังแกนางชัดๆ! อวี้อาเหรากัดริมฝีปาก จากนั้นก็มองไปทางแมวที่กำลังกางกรงเล็บอยู่ นางก็ก้มหน้าลงอย่างจำยอม “เจ้าจับข้าเถิด”
มุมปากของฉู่ป๋ายโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ฉายแววล้อเล่นออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ยังไม่ทันที่จะพากันเดินไป ก็กดมือนางลงกับคานไม้ แล้วก้าวเข้ามาใกล้อย่างคุกคาม สายตาจ้องมองมาที่นาง ฉายแววน่าหวาดหวั่น “เมื่อครู่นี้ เจ้ากับเขาทำอะไรกัน?”
“ใคร?” อวี้อาเหราหยุดชะงัก ไม่เข้าใจว่าเขานั้นหมายถึงใคร
“จวินฉางอวิ๋น” น้ำเสียงของฉู่ป๋ายฟังดูเย็นชา แล้วจ้องมองนางอย่างสำรวจตรวจตรา
อวี้อาเหราหัวเราะออกมาทันที “ข้ากับเขา…”
“ช่างเถิด ไม่ต้องพูดแล้ว” นางที่กำลังจะเอ่ยปากพูดนั้นถูกปฏิเสธ น้ำเสียงของฉู่ป๋ายแหบแห้งนัก
อวี้อาเหราได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาด เปิดเปลือกตามองสำรวจท่าทีของเขา กลิ่นกายของเขาโชยเข้าจมูก เมื่อได้กลิ่นนี้อารมณ์ของนางก็เหมือนตกอยู่ในความมึนเมา เพียงสูดดมไปมากหน่อย ก็เหมือนคนเมาที่ดื่มเหล้า กลิ่นหวานหอม นางที่เอาแต่มอง ก็ต้องตกอยู่ในภวังค์
เขาอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ จนเหมือนเขาจะรวมร่างเข้ากับนางอยู่แล้ว จนสุดท้ายนางก็อยู่ห่างจากเนื้อกายขาวอ่อนนุ่มของเขาเพียงเล็กน้อย
อวี้อาเหราที่ถูกเขาดึงดูดนั้นเหม่อลอยในภวังค์
จนฉู่ป๋ายถอยออกไปสองสามก้าว นางจึงค่อยได้สติ
เมื่อครู่นี้ทำไมถึงได้…
เมื่อนางกำลังจะพูด เขาก็หมุนตัวเดินจากไป แล้วบังคับให้นางเดินตามไปด้วย
ระหว่างทางนั้น มีนางกำนัลและขันทีอยู่ด้วยจำนวนไม่น้อย แทบทุกคนล้วนแล้วแต่เห็นนางที่ถูกเขาเดินจูงมือ สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ ช่างเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินนัก ไม่รู้ว่าเหตุใดฉู่ป๋ายถึงมาอยู่กับอวี้อาเหราได้ อีกทั้งยังจูงมือกันอีกด้วย การกระทำเช่นนี้ช่างชี้นำให้คิดยิ่งนัก
ที่ด้านหลังของทั้งสอง มีแมวอ้วนตัวหนึ่งเดินตามมาตามถนนด้วยความอหังการ์
จนเมื่อมาถึงหน้าประตูวัง ฉู่ป๋ายจึงค่อยปล่อยมือของนางออก แล้วร้องบอกแมวตัวขาวว่า “มานี่”
เมื่อเจ้าแมวอ้วนได้ยินเสียงของเขา มันก็จะโดดขื้นไปในอ้อมแขน
อวี้อาเหรามองไปทางด้านหลัง แล้วจึงค่อยเห็นเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้รีบวิ่งเข้ามาหา “เมื่อครู่พวกเจ้าไปไหนมา”
“เมื่อครู่นี้พวกบ่าวเห็นเซิ่นซื่อจื่อจูงมือคุณหนูออกจากวัง แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปห้าม จึงวิ่งตามมาด้านหลังเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้ตอบ
อวี้อาเหราพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เจาเอ๋อร์ปรายตามอง แล้วถามอวี้อาเหราด้วยความสงสัย “เมื่อครู่นี้บ่าวเห็นว่าเซิ่นซื่อจื่อมีท่าทีแปลกๆ คุณหนูไปยั่วโมโหท่านหรือเปล่าเจ้าคะ”
“ข้าจะไปยั่วโมโหเขาทำไม” อวี้อาเหรานึกขำ จากนั้นก็ค่อยกลับมาพิจารณา นางก็ไม่เห็นว่าเมื่อครู่นี้นางจะทำอะไรผิดไปตรงไหน นางยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่รู้ว่าไปยั่วโมโหอีกฝายตรงไหนกัน หรือว่าเป็นเพราะเมื่อครู่นี้เห็นนางและจวินฉางอวิ๋นอยู่ด้วยกัน?
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!
เงยหน้าขึ้นถาม “เมื่อครู่นี้เจ้าเห็นเขาโกรธจริงๆ หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ สีหน้าของเซิ่นซื่อจื่อดูแย่กว่ายามปกติมาก ทั้งเงียบขรึมดุดันอีกด้วย หากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะใส่ใจคุณหนูมาก ก็คงเป็นเพราะโกรธกระมังเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้พยักหน้ายอมรับ
อวี้อาเหราถอนหายใจ “เมื่อครู่นี้รัชทายาทตรึงข้าเอาไว้กับคานไม้ แล้วเขาเข้ามาเห็นพอดี”
ตอนที่ 530 เขาโกรธแล้ว
“หา ได้อย่างไรเจ้าคะ!” เจาเอ๋อร์ตกใจ แล้วมองนางด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย “คุณหนูช่างโหดร้ายนัก”
“ข้าโหดร้ายตรงไหนกัน เขาไม่ใช่คนที่ถูกตรึงติดคานเสียหน่อย” อวี้อาเหราว่าเสียงกลั้วหัวเราะ ทำราวกับไม่รู้เรื่อง แต่ยิ่งเข้าใกล้นางก็เริ่มรู้สึกถึงความแตกต่างที่ฉู่ป๋ายปฏิบัติต่อนาง แต่นางยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก เช่นนั้นจึงไม่ยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เจาเอ๋อร์ชะงัก แล้วมองนางอย่างสำรวจตรวจตรา ไม่รู้ว่านางโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่
รถม้ายังคงไม่ขยับ ดูแล้วคงกำลังรออวี้อาเหราอยู่
นางมองไปยังรถม้า ก็เห็นฉู่ป๋ายอยู่ตรงนั้น
ในยามนั้นเอง ฉู่ป๋ายก็จ้องมองนางนิ่งๆ “เจ้าขึ้นมาเถิด”
น้ำเสียงของเขาราวกับไม่ยอมให้นางปฏิเสธ เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของเขาแล้ว อวี้อาเหราก็นึกอยากที่จะปฏิเสธ เขาเปิดม่านของรถขึ้น ถ้านางไม่ยอมขึ้นไปเขาคงจะไม่ยอม เขานิ่งไป แล้วจึงออกคำสั่ง “เจาเอ๋อร์ เมี่ยวอวี้ พวกเจ้าไปนั่งรถม้าของจวนหลิงอ๋องเถิดไป”
“เจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์รีบไปทันที
อวี้อาเหราเดินเข้ามาในรถ เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นฉู่ป๋ายนั่งอยู่ เจ้าแมวอ้วนตัวนั้นก็ยังคงนอนอย่างสบายใจบนขาของเขา เสื้อผ้าสีขาวหลอมรวมเข้ากับขนของแมวเป็นร่างเดียวกัน หากแมวตัวนั้นนอนหลับตา ก็คงมองไม่ออกว่ามีแมวนอนอยู่ด้วย
ฉู่ป๋ายไม่ได้มองนางเลยแม้แต่น้อย ทำได้แต่หันหน้าไป แล้วมองไปทางอื่น
มุมปากของอวี้อาเหรายกยิ้มค้าง เขานี่ก็ช่างแปลกไปจากเดิมนัก นางจึงจำต้องนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ
รถม้าวิ่งห้อ ชายที่นั่งข้างๆ นางไม่พูดอะไรเลยสักคำ
อวี้อาเหราลอบมองสำรวจเขาทางหางตา ทว่ากลับพบสายตาเย็นชาของเขา จนทำให้นางอดไม่ได้ที่จะใจสั่นไหว สายตาของเขาดูช่างน่ากลัวนัก น่ากลัวกว่าคนที่นางเคยเจอมามาก ควรจะพูดว่า ในโลกนี้ไม่เคยพบใครที่มีสายตาน่ากลัวเช่นเขามาก่อนเลย
ทั้งๆ ที่อ่อนโยนถึงเพียงนี้ แต่เหมือนกับแผ่รังสีความเย็นชาเข้ามา
ทั้งๆ ที่งดงามถึงเพียงนี้ แต่เหมือนเป็นดอกไม้ปลิดชีวิต
ดวงตาคู่นั้นของเขา พูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่เมื่อมองแล้ว ก็ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจ
ความรู้สึกกระวนกระวายนี้พุ่งเข้าไปสู่หัวใจ นางไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย แต่เมื่อถูกเขามองด้วยสายตาเช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำเรื่องผิดบาป เมื่ออยู่ตรงหน้าเขาแล้ว นางก็จำต้องค่อมเอว ก้มหน้าลง ราวกับทำอะไรก็มักจะผิดอยู่เสมอ
แมวที่อยู่ในอกส่งเสียงร้อง ฉู่ป๋ายหลับตาลง แล้วหันกลับมา
อวี้อาเหราผ่อนลมหายใจ มองไปทางแมวที่อยู่ในอกของเขา แล้วลองเคลื่อนย้ายสายตา “เจ้าแมวนี่มาจากไหนกัน เหตุใดไม่เคยเห็นเจ้าเลี้ยงมันมาก่อน?”
ฉู่ป๋ายไม่ตอบคำถามของนาง บรรยากาศกลายเป็นความเงียบสงัด
อวี้อาเหรากัดริมฝีปาก พูดสักคำจะตายหรืออย่างไร? เป็นผู้ชาย โตถึงเพียงนี้แล้วยังคิดเล็กคิดน้อยอีกหรือ?
ราวกับว่าในสายตาของเขา ตัวนางและจวินฉางอวิ๋นเหมือนเป็นหญิงโฉดชายชั่ว ทำเรื่องที่ไม่สมควรเป็นอย่างมาก
ทว่า นางยังไม่ได้แต่งงานเสียหน่อยมิใช่หรือ?
อีกอย่าง จวินฉางอวิ๋นเองก็เป็นว่าที่สามีของนาง ว่าที่สามีและว่าที่ภรรยาจะทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
จะต้องโกรธเคืองจนจ้องมองตาแทบถลนเพียงนี้เชียวหรือ? เมื่อครู่นี้ยังใช้ให้แมวอ้วนจับตัวจวินฉางอวิ๋นเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่ก็ไม่ใช่แมวของนางเสียหน่อย ช่างไม่กลัวว่าความรับผิดชอบทั้งหมดจะตกอยู่ที่นางเลยหรืออย่างไรกัน