ลิขิตฟ้าชะตารัก - ตอนที่ 553-554
ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 553 ไม่รีบ / ตอนที่ 554 หมองจนไม่รู้จะหมองอย่างไร
ตอนที่ 553 ไม่รีบ
รอยยิ้มของฉู่ป๋ายดูฝืดฝืนเล็กน้อย “ยังมีฉากกั้นอยู่แท้ๆ ข้าไปแอบดูเจ้าอาบน้ำตอนไหนกัน แล้วข้าเคยไปดูเจ้าที่ไหนกัน”
เขาพูดออกมาตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม แต่เมื่อออกมาจากปากเขาแล้ว ความหมายกลับเปลี่ยนไปเสียอย่างนั้น ราวกับเขาไม่ได้พูดจาลามก แต่เป็นความคิดของนางเองที่เบี่ยงเบนออกไป
อวี้อาเหราโกรธเสียจนไม่รู้ว่าจะโต้อย่างไรดี เพราะความเป็นจริงนั้นก็เป็นอย่างที่เขาพูดเอาไว้
นางจึงทำได้แต่เพียงสะบัดเสียงใส่ “ข้าไม่สน อย่างไรเสียเจ้าก็มองเห็นแล้ว จะรับผิดชอบหรือไม่!”
“รับผิดชอบ?” ฉู่ป๋ายทำราวกับตกใจนักหนา เหมือนเห็นท่าทีตื่นตระหนกของเขาผ่านเข้ามาจากฉากกั้น อวี้อาเหราคิดว่าเขาจะแสดงท่าทีนิ่งเฉยเหมือนอย่างเคย แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะพยักหน้าลงแล้วจึงพูดว่า “ตกลง ข้ารับผิดชอบ”
รับผิดชอบกับแม่เจ้าน่ะสิ! อวี้อาเหราร้องด่าในใจ
ไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ คำพูดที่บอกจะรับผิดชอบของเขานั้น ทำให้นางขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ด่าตัวเองที่ปากพล่อย เหตุใดสมองจึงผุดคำพูดเช่นนั้นออกมาได้?
อวี้อาเหราใช้น้ำล้างหน้า แล้วถึงค่อยคืนสติขึ้นมาได้บ้าง
มุมปากของนางคว่ำลง พยายามที่จะเปลี่ยนเรื่องพูด “เจ้ามาได้อย่างไร แอบเข้ามาจากด้านนอกหรือ? ไม่สิ แม้จะแอบเข้ามาจากด้านนอก แต่ก็ต้องเป็นผู้มีวรยุทธ์จึงจะเข้ามาได้ หรือพลังยุทธ์ของเจ้าฟื้นคืนมาแล้ว? เป็นไปไม่ได้ เจ้าคงไม่อาจควบคุมโรคกระหายโลหิตได้เร็วปานนี้…”
นางนิ่งไปสักพักจึงค่อยนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
ฉู่ป๋ายส่ายหน้า “เป็นหานสือที่พาข้ามา พลังยุทธ์ของข้ายังไม่ฟื้นคืน แต่ช่วงนี้หลังจากที่เกอเอ๋อร์กลับมาแล้ว อาการของโรคกระหายโลหิตของข้าก็นิ่งขึ้นไม่น้อย ตอนนี้สามารถฝึกพลังยุทธ์เผาไหม้ตัวตนกลับมาได้แล้ว”
อวี้อาเหราเข้าใจขึ้นมาในทันที พยักหน้าลงเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปรอบๆ ทิศจากถังไม้ ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองกำลังอาบน้ำอยู่
มองอยู่นาน จึงค่อยถามฉู่ป๋ายที่อยู่หลังฉากกั้นด้วยความสงสัย “เจ้าบอกว่าหานสือพาเจ้ามาไม่ใช่หรือ? เขาอยู่ที่ไหนกัน”
ฉู่ป๋ายหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “แน่นอนว่าเขาต้องอยู่ข้างนอกแน่ หรือเจ้าอยากจะให้เขาเข้ามาเห็นเจ้าอาบน้ำโดยไม่มีเสื้อผ้าติดกายสักชิ้นกันเล่า”
แน่นอนว่าไม่ใช่ ดวงตาของอวี้อาเหราส่องประกายวาววาบ ไม่ถามอะไรให้มากความอีก นางเงยหน้าขึ้นแล้วมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกฉากกั้นด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าบอกว่าไม่อยากให้หานสือดู อย่างนั้นเจ้าเข้ามาทำไม”
“เขามองไม่ได้ แต่ข้ามองได้” น้ำเสียงของฉู่ป๋ายเข้มงวดขึ้นมา
อวี้อาเหรามองไปที่ร่างกายผอมบางของเขา แล้วว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “หมายความว่าอย่างไร”
“ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างไร” เป็นเพราะคำพูดที่ออกมาจากปากของเขาฟังดูแล้วช่างสะเทือนเลือนลั่น น้ำเสียงของเขาช่างเย็นชา โชคยังดีที่มีฉากกั้นอยู่ จึงทำให้มองไม่เห็นว่าเขากำลังทำสีหน้าเช่นไรอยู่กันแน่
“…” อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะพูดคำไหนดี
หลังจากที่พูดจบแล้ว ฉู่ป๋ายก็กล่าวต่อไปว่า ราวกับเห็นว่าคิ้วของเขาเลิกขึ้นสูงเมื่อฟังจากน้ำเสียงที่เขาพูดขึ้น “เหตุใดเจ้ายังอาบน้ำไม่เสร็จอีกเล่า”
“ข้าจะอาบน้ำเสร็จหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย!” อวี้อาเหราถามกลับอย่างหาเรื่อง
ชายผู้นี้ไม่รู้จักคำว่า ‘สมบัติผู้ดี’ สี่คำนี้เลยหรืออย่างไรกัน? ก็เห็นๆ อยู่ว่านางกำลังอาบน้ำ ก็ยังไม่ยอมเดินจากไปอีก แล้วนางจะอาบน้ำได้อย่างไร? แม้ว่านางจะอาบเสร็จแล้วก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย หรือว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นพวกเจ้าชู้จริงๆ จึงคอยมาแอบดูสตรีอาบน้ำอยู่เช่นนี้
“ไม่ใช่เรื่องของข้า ในเมื่อเจ้าไม่รีบ ข้าก็ไม่รีบเช่นกัน” หลังจากที่ฉู่ป๋ายพูดจบแล้ว ใบหน้าที่อยู่ในแสงอับทึบก็ลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาก้าวเท้าเดินห่างจากฉากกั้น แต่กลับไม่ได้หนีไปไหน กลับไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันเท่าใดนัก
อวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็นึกโกรธขึ้นมาจับใจ เหตุใดคนผู้นี้จึงหน้าหนาได้ถึงเพียงนี้กัน?
ฉู่ป๋ายก้มหน้าลงเพื่อดื่มน้ำชาเรื่อยๆ ในมือของเขามีถ้วยชาร้อนๆ ที่มีควันฉุย นิ้วมือเรียวยาวถือถ้วยชาอย่างสบายอกสบายใจ น้ำชานั้นร้อนลวกเล็กน้อย เพราะเป็นชาที่เจาเอ๋อร์ตั้งใจชงเอาไว้ให้นางดื่มหลังจากอาบน้ำแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขากลับยึดไปเสียแล้ว
เขายกขึ้นดื่มด้วยท่าทีงามสง่า ไม่สนใจเปลวไฟแห่งความเคียดแค้นที่ส่งออกมาจากคนที่อยู่ในถังไม้ในฉากกั้นแม้แต่น้อย
ความโกรธเคืองสำหรับเขาแล้วก็เหมือนหมัดถูกต่อยลงบนปุยนุ่น ไม่มีท่าทีอยากจะสนองกลับเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 554 หมองจนไม่รู้จะหมองอย่างไร
มองไปทางฉู่ป๋ายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่มีท่าทีว่าจะเดินหนีออกไปไหนทั้งนั้น ในใจของอวี้อาเหราก็เหมือนมีพายุคลั่งพัดวนอยู่ในอก จนแทบอยากจะกระทืบเขาให้จมดิน นางหยุดความคิดของตัวเอง พยายามที่จะรวบรวมสมาธิ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากำลังอาบน้ำอยู่”
“อืม อาบต่อสิ” ฉู่ป๋ายตอบกลับมาอย่างนิ่งเฉย แม้แต่สายตายังไม่อยากจะเลิกขึ้นมามอง
หน้าผากของอวี้อาเหราเผยให้เห็นรอยยับย่น นางหมดคำที่จะเอ่ยแล้ว! เป็นเพราะเขาตาบอดหรือตั้งใจกันแน่? คิดไม่ได้เลยหรือว่าตอนนี้นางกำลังอาบน้ำอยู่? เขาเอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้น มีผู้ชายอยู่เช่นนี้แล้วจะให้นางอาบน้ำได้อย่างไรกัน ไม่ต้องพูดว่ามีฉากกั้นบางๆ กั้นอยู่หรอก แม้ว่าจะมีภูเขาสูงตั้งตระหง่าน นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
ฉู่ป๋ายทำราวกับไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เอาแต่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ท่าทีดื่มชาก็เนิบช้าสง่างาม แต่เมื่อผ่าท่าทีสง่างามเข้าไปดูเนื้อใน ก็เห็นว่าเขานั้นมันก็แค่นักเลงโตผู้หนึ่งเท่านั้นเอง!
อวี้อาเหราขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ “หากเจ้านั่งอยู่เช่นนั้นแล้วจะให้ข้าอาบน้ำได้อย่างไรกัน เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าชายหญิงไม่ควรชิดใกล้ ข้ากำลังอาบน้ำแต่เจ้าก็ยังไม่ยอมจากไป เช่นนี้จะถือว่าถูกต้องหรือ”
ฉู่ป๋ายค่อยๆ เหลือบสายตาขึ้นมามอง เมื่อกำลังจะเอ่ยปากตอบนาง เมี่ยวอวี้และเจาเออร์ที่ได้ยินเสียงจากข้างในก็เดินเข้ามาในที่สุด จ้องมองเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสายตาตื่นตะลึง แล้วจึงมองไปทางอวี้อาเหราที่อยู่ในฉากกั้น ก่อนจะอ้าปากค้างราวกับกินสาลี่เข้าไปทั้งลูกก็ไม่ปาน หากจะพูดเกินจริงจนเกินไป อาจจะพูดได้ว่าพวกนางอ้าปากค้างเหมือนกินแตงโมเข้าไปทั้งลูกก็ไม่ปาน
เพียงคิดก็รู้ได้ ไม่เพียงแต่ในใจของพวกนางเท่านั้น แม้แต่ใบหน้าของพวกนางก็ยังดูตื่นตระหนกตกใจไม่แพ้กัน
“ใครน่ะ” อวี้อาเหรามองไปยังด้านนอกของฉากกั้น แต่ก็มองไม่ออกว่าเป็นใคร รู้แต่เพียงว่าเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาจากด้านนอก แต่ไม่แน่ใจจึงถามขึ้นมา
“คุณ…คุณหนู” น้ำเสียงของเจาเอ๋อร์ดูสั่นขึ้นมาในทันที “เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ”
“เจาเอ๋อร์หรือ?” ใบหน้าของอวี้อาเหราแดงเถือก นางคงมองเห็นฉู่ป๋ายที่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วเป็นแน่แท้ เช่นนั้นในใจของนางก็ยิ่งกระสับกระส่าย พยายามที่จะบอกตัวเองให้สงบเข้าไว้ แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิง “เจ้าเข้ามาทำไมกัน”
“บ่าวได้ยินเสียงภายในห้องนี้ เกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับคุณหนูเข้า ดังนั้นจึงเข้ามาดูเจ้าค่ะ หากไม่มีอะไร บ่าวกับเมี่ยวอวี้ก็ต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก หากนางรู้ว่าเซิ่นซื่อจื่ออยู่ที่นี่ ตีนางให้ตายอย่างไรนางก็ไม่กล้าเข้ามา ตอนนี้พบว่าคนทั้งสองอยู่ด้วยกัน แล้วคุณหนูจะไม่เกลียดนางตายแย่หรือ?
หากแต่อวี้อาเหรารู้ว่าในใจของนางคิดอะไร ก็คิดว่าคงไม่เกลียดนางจนตายหรอก แต่จะโกรธนางตายเสียมากกว่า
“เมี่ยวอวี้?” อวี้อาเหรากะพริบตา รอยยับย่นหมองคล้ำยิ่งเพิ่มสู่หน้าผากของนางมากยิ่งขึ้น ช่างดีอะไรเช่นนี้ อยากให้มาก็ไม่มีใครมา แต่พอจะมาก็มากันทั้งสองคน ตอนนี้แม้ว่านางจะโดดลงไปในแม่น้ำเหลืองก็คงไม่อาจชำระล้างตัวเองจากความสัมพันธ์กับฉู่ป๋ายให้สะอาดได้ดังเดิมแล้ว
หากพูดกันตามตรง แม้จะจับนางใส่ตะกร้าล้างน้ำ ก็คงล้างไม่ออกไปเสียนานแล้ว
ชื่อเสียงของนางมัวหมองจนไม่รู้จะหมองได้อย่างไรอีก ตัวนางมักตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถูกเข้าใจผิดจนชินเสียแล้ว
เรื่องที่ฉู่ป๋ายและนางกระทำทั้งหมด หากไม่ถูกเข้าใจผิดก็คงแปลกน่าดู
เมื่อรู้ว่าเมี่ยวอวี้อยู่ที่นี่ด้วย ในใจของอวี้อาเหราก็สว่างวาบ ราวกับตะครุบเอาเรื่องสำคัญเอาไว้ได้ “เมี่ยวอวี้ เจาเอ๋อร์ ข้ายังอาบน้ำไม่เสร็จ เจ้าเชิญเซิ่นซื่อจื่อออกไปทานขนมก่อนเถิด ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้พวกเจ้าเอาขนมมาด้วยมิใช่หรือ?”
“ขนมหรือเจ้าคะ? คุณหนู พวกเราไม่ได้…” เจาเอ๋อร์ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากม่านหมอก ก็ไม่เข้าใจว่าอวี้อาเหราหมายความว่าอย่างไร โชคยังดีที่เมี่ยวอวี้หัวไว หลังจากที่นางพูดจบก็รีบพยักหน้ารับคำสั่งทันที “คุณหนูพูดถูกแล้ว บ่าวจะเชิญเซิ่นซื่อจื่อรับประทานขนมเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ไปเถิด” อวี้อาเหรายิ้มอย่างวางใจ
หลังจากที่ฉู่ป๋ายได้ยินบทสนทนาของพวกนางทั้งสาม ก็ยังคงไม่มีท่าทีจะเดินหนีไปแม้แต่น้อย ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้เช่นเดิม ทั้งยังมองไปทางอวี้อาเหรา แล้วส่งเสียงออกไปอย่างดุดันเล็กน้อย “ขอบคุณเหราเอ๋อร์ที่ใส่ใจ แต่ก่อนหน้านี้พวกเราทานอาหารที่จวนเซิ่นอ๋องจนอิ่มแล้วมิใช่หรือ คงไม่ต้องเปลืองขนมของเจ้าหรอกนะ”
“ไม่เป็นไร เป็นของที่ต้องทานอยู่แล้ว ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรแม้แต่น้อย” รอยยิ้มของอวี้อาเหราดูจอมปลอมยิ่งนัก
ฉู่ป๋ายกลับยิ้มด้วยสีหน้าอบอุ่น “ถ้าเช่นนั้นก็เอาให้คนอื่นกินเถิด เพราะเราก็ไม่ได้หิว แม้ว่าจะหิวก็เถอะ แต่หากได้เห็นเหราเอ๋อร์อาบน้ำ ก็ถือเป็นอาหารตาที่ดี ใช่ไหมเล่า?”